Banner image

Find the best courses for you in 3 easy steps

หาคอร์สที่ใช่ เหมาะกับสิ่งที่น้องอยากเรียนและระดับที่ถูกต้อง เพื่อการเรียนรู้อย่างก้าวกระโดด เราพร้อมดูแลตั้งแต่ก้าวแรกที่น้องๆ ก้าวมาหาเรา น้องๆ สามารถปรึกษาและพูดคุยกับทีม เพื่อที่จะหาตัวเองที่ใช่ และหาคอร์สที่ลงตัว เพื่อที่จะเตรียมตัวน้องๆ ให้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงที่สุด

Line สมัครเรียนหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

1

Get consultation & design your own pathway

ปรึกษาและออกแบบคอร์สเรียน

Option #1 – Visit ignite by OnDemand Studio
น้องๆ และผู้ปกครองสามารถมาที่ ignite by OnDemand ทุกสาขา เพื่อสอบถามและแลกเปลี่ยนข้อมูล เกี่ยวกับทางที่น้องต้องการจะเลือกเดิน เพื่อที่จะออกแบบ และวางแผนการเรียนได้ตรงเป้าหมายของน้องมากที่สุด

Option #2: Fill in contact form
เพียงกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับต้องน้องๆ และช่องทาง การติดต่อ ทางทีม ignite จะติดต่อกลับเพื่อสอบถาม และออกแบบแผนการเรียน ของน้อง ชึ่งน้องๆ สามารถกรอกแบบฟอร์มนี้ให้เรา

Download Brochure

Start now! Apply here

We'll get back to you within 48 hrs.

2

Finish placement test & Try a trial class

วัดระดับและทดลองเรียน

Online Placement Test – แบบทดสอบวัดระดับออนไลน์
Online Placement Test – แบบทดสอบวัดระดับออนไลน์เพื่อเป็นการหาระดับและคอร์สเรียนที่เหมาะสมกับตัวน้องๆ ที่สุด น้องๆ จำเป็นต้องทำ Place Test เพื่อวัดระดับของวิชาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Mathematics English Biology Physics และ Chemistry

Get a FREE Trial Class – ทดลองเรียน
น้องๆ สามารถทดลองเรียนเพื่อน้องๆ จะได้เห็นถึงบรรยากาศและเนื้อหาการเรียน โดยที่ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

Online Placement Test
3

Course registration & Payment

ลงทะเบียนเรียนและชำระเงิน

Design your own courses & learning way
เมื่อน้องๆ เลือกวิชาได้แล้ว น้องๆ สามารถเลือกวิธีเรียนเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของน้องๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น LIVE | S.E.L.F | One-On-One | @Home

Payment ชำระเงิน
สำหรับการชำระเงิน ต้องชำระที่สาขาต่างๆ เท่านั้น

Line สมัครเรียนหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

Courses FAQ

คำถามเกี่ยวกับรายวิชา

  • อยากเริ่มเตรียมตัวสอบเข้าแพทย์รอบพอร์ต มีเกณฑ์คะแนนอะไรบ้าง ?

    เกณฑ์โดยทั่วไปของแพทย์รอบพอร์ต สิ่งที่น้องต้องเตรียม คือ เกรดเฉลี่ยสะสมรวม (GPAX), เกรดเฉลี่ยสะสมรายวิชาเคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์, ผลงานกิจกรรมทางวิชาการและบำเพ็ญประโยชน์ เช่น คะแนน IELTS, คะแนน UCAT/อื่นๆ และโครงงานหรือการทำงานวิจัย ซึ่งจะมีเกณฑ์แตกต่างกันตามคณะและโครงการรับสมัคร

    โดยน้องๆ สามารถขอรับเกณฑ์ (requirements) อัปเดตใหม่ได้ทาง LINE: @ignitebyondemand และกดเลือกรับข่าวสารแพทย์รอบพอร์ต

  • อยู่ต่างจังหวัด สามารถเรียนคอร์สสด (Live class) กับ ignite ได้ไหม ?

    เรียนได้ครับ นอกจากมานั่งเรียนด้วยกันที่ ignite @MBK Tower ชั้น 15 แล้ว น้องๆ ยังสามารถเรียนคอร์สสดกับ ignite ในรูปแบบออนไลน์ผ่านทาง Zoom ตามตารางเรียนปกติของแต่ละคลาสได้เลยครับ (ยกเว้นบางคอร์สที่ต้องเรียนในรูปแบบ Onsite เพื่อทำกิจกรรมภายในคลาส)

  • เป็นนักเรียนหลักสูตรโรงเรียนไทย สามารถเรียนกับ ignite ได้ไหม ?

    เรียนได้ครับ โดยคอร์สเรียนของ ignite มีหลายระดับตั้งแต่คอร์สปรับพื้นฐาน คอร์สลงลึกเนื้อหา ไปจนถึงคอร์สตะลุยโจทย์เพื่ออัปคะแนน และสอนด้วยภาษาไทย แต่ตำราจะเป็นรูปแบบภาษาอังกฤษเพื่อให้น้องคุ้นเคยกับการใช้ภาษาในการทำข้อสอบจริง ดังนั้น น้องๆ ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการสื่อสารและทำความเข้าใจเนื้อหาครับ

  • ไม่แน่ใจว่าจะลงคอร์สเรียนไหนดี ?

    น้องๆ สามารถทดลองทำข้อสอบการเรียน Placement Test แต่ละวิชาก่อนได้ครับ เพื่อวัดระดับความพร้อมของน้องก่อนการเลือกคอร์สเรียนที่เหมาะสม น้อง ๆ สามารถนำผลการวัดระดับมาขอรับคำแนะนำได้ฟรี และสามารถทดลองเรียนก่อนได้ วิชาละ 2 ชั่วโมง โดยแจ้งขอทดลองเรียนวิชาที่ต้องการได้ผ่านทาง LINE: @ignitebyondemand ได้เลยครับ

  • UCAT คืออะไร ?

    UCAT ย่อมาจาก University Clinical Aptitude Test ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกเปลี่ยนใหม่เมื่อปี 2019 จากเดิมนั้นใช้ชื่อว่า UKCAT หรือ UK Clinical Aptitude Test เป็นการทดสอบความถนัดทางคลินิก ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการศึกษาต่อในหลักสูตรที่เกี่ยวกับการแพทย์และทันตแพทย์ แม้จะมีการปรับชื่อการทดสอบใหม่ แต่เนื้อหาการสอบนั้นยังคงเดิม

    ข้อสอบ UCAT เป็นข้อสอบแบบปรนัยทั้งหมด แบ่งออกเป็น 5 parts

    1.Verbal Reasoning เป็นการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์และการให้เหตุผล จำนวน 44 ข้อ ให้เวลาในการทำข้อสอบ 21 นาที คะแนนจะอยู่ระหว่าง 300 – 900 คะแนน

    2.Decision Making เป็นการทดสอบทักษะการตัดสินใจ และการใช้วิจารณญาณจากข้อมูลที่ซับซ้อน จำนวน 29 ข้อ ให้เวลาในการทำข้อสอบ 31 นาที คะแนนจะอยู่ระหว่าง 300 – 900 คะแนน (ข้อละ 2 คะแนน)

    3.Quantitative Reasoning เป็นการทดสอบความสามารถในการใช้เหตุผลเชิงปริมาณ เกี่ยวกับทักษะคณิตศาสตร์ จำนวน 36 ข้อ ให้เวลาในการทำข้อสอบ 25 นาที คะแนนจะอยู่ระหว่าง 300 – 900 คะแนน

    4.Abstract Reasoning เป็นการทดสอบความสามารถด้านการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม ความสัมพันธ์ของข้อมูลต่างๆ จำนวน 50 ข้อ ให้เวลาในการทำข้อสอบ 12 นาที คะแนนจะอยู่ระหว่าง 300 – 900 คะแนน

    5.Situational Judgement เป็นการทดสอบทักษะการตัดสินใจในสถานการณ์ความเป็นจริง และความเข้าใจในจริยธรรมทางการแพทย์ 22 สถานการณ์ ผ่านคำถามจำนวน 69 ข้อ ให้เวลาในการทำข้อสอบ 26 นาที คะแนนจะระบุเป็นช่วงระหว่าง 1 ถึง 4 โดย 1 คือสูงสุดและ 4 คือต่ำสุด

  • รอบสอบ UCAT ?

    สำหรับกำหนดการสอบในปี 2024 จะเปิดให้สมัคร Account ในเดือนพฤษภาคม เปิดจองที่นั่งเข้าสอบในช่วงเดือนมิถุนายน และจัดการทดสอบในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนกันยายน ซึ่งผู้เข้ารับการทดสอบสามารถเลือกวันที่ต้องการเข้าสอบได้เอง จากนั้นผลคะแนนจะถูกส่งไปยังมหาวิทยาลัยในข่วงเดือนพฤศจิกายนของปีเดียวกัน

  • สิทธิพิเศษสำหรับน้องๆ Ignite

    1. สำหรับการซื้อ 2 – 4 ชุด ใส่ Code IGCP01 เพื่อรับส่วนลด 10%
    2. สำหรับการซื้อ 5 – 6 ชุด ใส่ Code  IGCP02 เพื่อรับส่วนลด 15%
    3. สำหรับการซื้อ 7 ชุด ใส่ Code IGCP03 เพื่อรับส่วนลด 20%
  • Digital SAT Self Practice จะช่วยน้องเตรียมสอบได้อย่างไร? 

    Digital SAT Self Practice เป็นระบบจำลองการสอบ Digital SAT ที่เสมือนระบบสอบจริงมากที่สุด มี Features ที่ครบถ้วนพร้อมระบบ Adaptive test ที่สามารถเลือกชุดข้อสอบให้น้องตามผลคะแนนใน Module1  มีระบบวิเคราะห์คะแนนสอบที่จะสามารถทำให้น้องเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองได้ตามรายหัวข้อ เพื่อให้น้องได้นำไปพัฒนาการฝึกทำโจทย์ได้อย่างตรงจุดมากที่สุด   

  • Digital SAT Self Practice และ Digital SAT Mock Exam ต่างกันอย่างไร?

    1.Digital SAT Mock Exam เป็นการจำลองสถานการ์ณจริงกับชุดข้อสอบที่ Ignite ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน และจะต้องสอบตามเวลาที่กำหนด 

    2.Digital SAT Self Practice เป็นระบบจำลองการสอบที่น้องสามารถสอบได้ทุกที่ ทุกเวลา กับชุดข้อสอบที่พบได้ที่ Ignite เท่านั้น

  • DIGITAL SAT Self Practice เหมาะกับใคร?

    1. เหมาะสำหรับน้องที่ไม่เคยเรียนกับIgnite มาก่อน และต้องการตะลุยโจทย์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน และไม่ซ้ำใน Bluebook
    2. เหมาะสำหรับน้องที่ต้องการทราบรายละเอียดของพื้นฐานของน้องว่าน้องชำนาญเรื่องไหนแล้ว และมีเรื่องไหนที่น้องจะต้องทบทวนเพิ่มเติม
    3. เหมาะสำหรับน้องที่มีพื้นฐานใน SAT  ครบทุกเนื้อหาแล้ว และต้องการตะลุยโจทย์เองในระบบเสมือนจริง
  • ซื้อ Digital SAT Self Practice อย่างไร?

    1. เลือกชุดข้อสอบที่ต้องการ
    2. กรอกรหัสคูปองเพื่อรับส่วนลด ก่อนกดยืนยันคำสั่งซื้อ (ในกรณีที่ซื้อมากกว่า 1 ชุด) 
    3. รับข้อสอบ และคู่มือการมช้งานทางอีเมล (ภายใน 3 วันทำการ)

     

    **ไม่สามารถคืนเงินหรือเปลี่ยนชุดข้อสอบได้ทุกกรณี กรุณาชุดข้อสอบก่อนกดยืนยันการสั่งซื้อ**

  • อายุการใช้งาน?

    ข้อสอบ Digital SAT Self Practice มีให้ฝึกทั้งแบบ imock และ Workbook

    • imock Digital SAT มีอายุการใช้งาน 6 เดือน
    • Digital SAT Workbook ไม่มีหมดอายุ
  • จำนวนรอบในการสอบต่อชุด

    น้องๆสามารถทำข้อสอบบนระบบ imock ได้สูงสุด 3 ครั้งต่อชุด แต่ถ้าเป็น workbook น้องสามารถฝึกได้หลายรอบตามความต้องการ

  • วิธีในการรับข้อสอบ

    E-Mail ที่ใช้รับข้อสอบ จะเป็น E-mail เดียวกับที่ใช้สมัคร Shop Ignite ในกรณีที่ E-mail ใน Shop ไม่ตรงกับผู้ใช้งานจริง กรุณาติดต่อทีมงาน Ignite ทางร้านสาขา หรือทักไลน์ @Ignitebyondemand เพื่อเปลี่ยน E-mail เป็น E-mail ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

  • GED ใช้ยื่นเข้าคณะอะไรได้บ้าง

    • สามารถยื่นเข้าคณะอินเตอร์ได้ทั้งคณะสายวิทย์และสายศิลป์ (ยกเว้นคณะกลุ่มแพทยศาสตร์) นอกจากนี้ยังสามารถใช้ยื่นเพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างประเทศได้อีกด้วย
  • ต้องทำคะแนน GED ให้ได้เท่าไหร่เพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัย

    • GED กำหนดให้คะแนนขั้นต่ำเพื่อใช้ในการรับวุฒิคือวิชาละ 145 คะแนน แต่อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยมักกำหนดคะแนนขั้นต่ำที่สูงขึ้นเพื่อการันตีความรู้พื้นฐานของผู้เรียน โดยต้องติดตาม Requirement ของมหาวิทยาลัยทุกปี
    • ตัวอย่างข้อมูลในปี 2020 จุฬาฯ และมธ. กำหนดคะแนนรวม 4 วิชาอยู่ที่ 660 คะแนน (เฉลี่ยวิชาละ 165 คะแนน)
  • สอบ GED แล้วยังต้องสอบวิชาอื่น ๆ เช่น SAT, IELTS อยู่หรือไม่

    • ยังต้องสอบ เนื่องจาก GED มีค่าเทียบเท่ากับวุฒิม.6 แต่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ยังคงต้องการคะแนนวัดผลในส่วนของวิชาอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อใช้ในการคัดเลือกและการันตีความรู้พื้นฐานของผู้เรียน
  • สอบ GED แล้วสามารถแก้คะแนนได้หรือไม่

    • ในกรณีที่สอบไม่ผ่านคะแนนขั้นต่ำ 145 คะแนน สามารถสมัครใหม่ได้เลย 3 ครั้ง หากยังไม่ผ่านอีกจะต้องรอ 90 วัน
    • ในกรณีที่น้องคะแนนเกิน 145 คะแนน แต่ยังไม่ถึงคะแนนที่ตั้งใจไว้ น้องจะต้องสอบให้ครบทุกวิชาแล้วจึงทำเรื่องสอบใหม่ได้ 1 ครั้งเพื่อแก้คะแนน
  • เนื้อหาในแต่ละบทสอนเกี่ยวกับอะไร ยังไงบ้าง?

    1. Numbers, Properties and Exponents =เลขยกกำลัง จำนวนจริง การประมาณค่า ห.ร.ม. ค.ร.น.
    2. Ratio and Percentage = อัตราส่วน ร้อยละ
    3. Linear Equations & Graphs = สมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว และกราฟเส้นตรง
    4. Constructions = การสร้างรูปเรขาคณิต สร้างมุม แบ่งครึ่งมุม การเลื่อนรูป หมุนรูปเรขาคณิต
    5. Polynomial & Quadratic Equations = พหุนาม สมการกำลังสอง
    6. Roots, Variation and Absolute Values = รูท การแปรผัน ค่าสมบูรณ์
    7. Pythagorean Theorem, Congruence and Similarity = ทฤษฎีบทปีทาโกรัส ความเท่ากันทุกประการของสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมคล้าย
    8. Area and Volume =พื้นที่และปริมาตรของรูปเรขาคณิต สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลม และรูปทรงสามมิติ
    9. Circle = สมบัติวงกลมต่างๆ
    10. Parabola =สมการกำลังสอง กราฟพาราโบลา
    11. Statistics and Probability = สถิติ ความน่าจะเป็น แผนภูมิกราฟ ตารางแจกแจงความถี่ ค่าเฉลี่ย มัธยฐาน ฐานนิยม
    12. Trigonometry = ตรีโกณของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
  • เนื้อหาของคณิตศาสตร์ EP แตกต่างจากการเรียนคณิตศาสตร์หลักสูตรไทยอย่างไร?

    คณิตศาสตร์ในหลักสูตร EP จะมีความง่ายกว่าหลักสูตรไทย เนื่องจากโจทย์จะถามค่อนข้างตรงตัวไม่พลิกแพลง

  • ควรเตรียมตัวเรื่องไหนก่อน? เพราะเหตุใด?

    Linear Equations & Graphs เพราะพื้นฐานการแก้สมการสามารถนำไปใช้เพื่อต่อยอดกับเนื้อหาอีกหลายๆบทครับ

  • คะแนน CU-TEP ใช้ทำอะไรได้บ้าง

    คะแนนCU-TEPสามารถใช้ยื่นเข้าคณะอินเตอร์ได้หลายๆคณะในประเทศไทยโดยเฉพาะจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมไปถึงการสมัครศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอกอีกด้วย

  • การสอบ CU-TEP มีกี่แบบและต่างกันอย่างไร

    การสอบ CU-TEP สามารเลือกสอบได้ 2 แบบ คือ แบบปกติ (Paper-based Exam) และ แบบ E-Testing ซึ่งการสอบแบบ E-Testing จะเป็นการสอบด้วยคอมพิวเตอร์จึงสามารถเลือกวันสอบได้มากขึ้นและรู้ผลทันทีหลังสอบเสร็จ แต่จะมีค่าธรรมเนียมการสมัครสอบสูงกว่าการสอบปกติ คือ 2,500 บาท

  • สอบมาหลายครั้งแล้ว คะแนนไม่ขึ้น ควรทำอย่างไร

    ต้องวิเคราะห์สาเหตุว่าเป็นเพราะอะไร ได้คะแนนในส่วนไหนน้อยที่สุด และหาแบบฝึกหัดส่วนนั้นมาทำเพิ่ม รวมถึงควรทำข้อสอบ Error บ่อยๆ เพื่อจับทางข้อสอบว่ามักจะหลอกเรื่องอะไร รวมไปถึงการฝึกฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษผ่านข่าว, ภาพยนตร์, หรือรายการโทรทัศน์ และอ่านข่าวภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน

  • แต่ละพาร์ทแยกเวลาสอบหรือไม่ และทำข้อสอบ CU-TEP อย่างไรให้ทัน

    การสอบ CU-TEP ทั้ง 3 พาร์ท จะแยกเวลาสอบกัน ข้อสอบจะถูกเก็บเมื่อทำแต่ละส่วนเสร็จ โดยเริ่มจากการสอบ Listening, Reading และ Writing ตามลำดับ พาร์ทที่คนทำไม่ทันมากที่สุด คือ Reading ดังนั้น ควรรีบอ่านโจทย์ก่อนและกลับไปอ่านเนื้อเรื่องเพราะจะทำให้รู้ว่าต้องโฟกัสตรงไหน และถึงค่อยทำความเข้าใจภาพรวมเพื่อหา Main idea

  • คะแนน IELTS ใช้ทำอะไรได้บ้าง

    IELTS เป็นการสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ผลคะแนนได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ดังนั้น คะแนน IELTS จึงสามารถใช้ยื่นได้ทั้งการเรียนต่อหรือทำงานในต่างประเทศ รวมถึงการยื่นเข้าหลักสูตรอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยในประเทศไทยหลายๆแห่ง ด้วย

  • สอบ IELTS แบบปกติหรือแบบคอมพิวเตอร์ดีกว่ากัน

    ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละบุคคล การสอบกับคอมพิวเตอร์จะมีความยืดหยุ่นและสะดวกมากกว่า เหมาะสำหรับคนที่ถนัดพิมพ์และต้องการผลคะแนนแบบเร่งด่วน แต่หากต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายและชอบทดหรือจดไปด้วยเวลาสอบ จะเหมาะกับการสอบแบบปกติ หรือ Paper-Based มากกว่า

  • ความแตกต่างของการสอบ IELTS แบบปกติและแบบคอมพิวเตอร์

    IELTS แบบสอบกับกระดาษปกติ จะมีรอบสอบต่อเดือนน้อยกว่า เฉลี่ย 4ครั้งต่อเดือน จำนวนคนต่อรอบเยอะกว่า และจะได้รับผลสอบหลังจากวันสอบ 13วัน มีค่าธรรมเนียมการสอบอยู่ที่ 6,900บาท ส่วนการสอบกับคอมพิวเตอร์จะมีความสะดวกมากขึ้นคือให้เลือกวันสอบได้ถึงเฉลี่ย 12 ครั้งต่อเดือน และจำนวนผู้เข้าสอบต่อรอบน้อยกว่า ผลสอบจะออกเร็วขึ้น ภายใน 5-7วัน แต่มีค่าธรรมเนียมการสอบที่สูงกว่าคือ 7,500 บาท

  • IELTSสอบอะไรบ้าง และวิธีการสมัครสอบเป็นอย่างไร

    IELTS จะทดสอบทั้งหมด 4 ทักษะ ได้แก่

    1. Listening (40 ข้อ 30 นาที),
    2. Reading (40 ข้อ 60 นาที),
    3. Writing (2 Tasks 60 นาที),
    4. Speaking (3 Parts 15 นาที)

    สามารถสมัครสอบ IELTS ได้ที่เว็บไซต์ของ British Council หรือ IDP โดยเลือกประเภทการสอบและ Upload สำเนาที่ใช้ยืนยันตัวตน (บัตรประชาชน/Passport) และจ่ายค่าสอบผ่านทางระบบลงทะเบียนออนไลน์หรือศูนย์สอบ

    สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของการสอบ IELTS ได้ที่ >> ลิงค์Blog ผ่าข้อสอบ IELTS <<

  • ควรเริ่มเตรียมตัวในการสอบ IELTS อย่างไร

    ลองทำแบบฝึกหัดตะลุยโจทย์บ่อยๆ ฝึกการบริหารเวลา เพื่อให้คุ้นเคยกับรูปแบบข้อสอบ  และเป็นการประเมินตนเองเพื่อวิเคราะห์หาจุดอ่อนที่ต้องพัฒนา รวมถึงควรฝึกอ่านและฟังภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เพราะจะทำให้รู้คำศัพท์ โครงสร้างประโยคและไวยากรณ์มากขึ้น เพื่อนำมาต่อยอดในการเขียนและการพูด

  • ข้อสอบ Digital SAT คืออะไร?

    SAT หรือ Scholastic Assessment Tests เป็นการสอนวัดความรู้ความสามารถของนักเรียนในระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันการสอบ SAT ถูกใช้เป็นข้อสอบมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในการใช้พิจารณารับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา และในประเทศไทยก็นำผลคะแนนนี้มาพิจารณาประกอบการสมัครเข้าเรียนหลักสูตรอินเตอร์ในหลายๆมหาวิทยาลัย ทั้ง จุฬาฯ, ธรรมศาสตร์, มหิดล, etc.

  • Digital SAT สมัครสอบยังไง?  และสนามสอบจัดที่ไหน?

    การสมัครสอบ SAT จะต้องสมัครผ่าน Website www.collegeboard.org เท่านั้น โดยการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ซึ่งส่วนใหญ่สนามสอบจะเป็นโรงเรียน Inter ในประเทศไทยและบางมหาวิทยาลัย (เช่น มธ., ม.มหิดล) โดยน้องๆสามารถเลือกสนามสอบตามความสะดวกได้เลยครับ

  • ควรเลือกสอบ Digital SAT MATH หรือ CU-AAT MATH ?

    ขึ้นอยู่กับ Requirement คณะที่น้องสนใจและความถนัดของน้อง โดยส่วนใหญ่น้องที่เรียนโรงเรียนไทยจะถนัดแนวโจทย์ CU-AAT MATH มากกว่าเนื่องจากโจทย์ไม่ยาวมากและเน้นการแก้สมการที่มีความซับซ้อนซึ่งเด็กไทยคุ้นชิน ในส่วนของ SAT MATH โจทย์จะมีความยาวกว่าแต่ไม่ต้องแก้สมการซับซ้อน และมี PART ของ Word Problem ที่ไม่มีสอนในหลักสูตรไทย น้องส่วนใหญ่นิยมสอบ SAT เนื่องจากผลคะแนนสอบสามารถยื่นได้ทุกมหาวิทยาลัย

  • เรียน Digital SAT MATH อย่างเดียวไปสอบ CU-AAT MATH ได้ไหม เพราะเป็นวิชาเลขเหมือนกัน

    สัดส่วนเนื้อหาที่ออกสอบ SAT MATH และ CU-AAT MATH มีความแตกต่างกันโดยที่ CU-AAT MATH แนวโจทย์จะเน้นการแก้สมการและโจทย์เรขาคณิตที่มีความซับซ้อนมากกว่า ในขณะที่ SAT MATH จะเน้นบท Algebra ที่ไม่ยากและ Word Problem (โจทย์ปัญหาอ่านยาวๆ) ด้วยสัดส่วนเนื้อหาและแนวโจทย์ที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นการเตรียมตัวสอบทั้ง 2 สนามจึงแตกต่างกัน

  • คะแนน SAT ใช้ทำอะไรได้บ้าง

    ข้อสอบ SAT เป็นข้อสอบที่ได้รับมาตรฐานสากลซึ่งได้รับการยอมรับไปทั่วโลก คะแนนSATจึงนำมาใช้พิจารณารับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาของสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศไทยนำผลสอบ SAT มาพิจารณาประกอบการสมัครเข้าเรียนหลักสูตรอินเตอร์ในหลายๆมหาวิทยาลัย ทั้ง จุฬาฯ, ธรรมศาสตร์, มหิดล, etc.

  • เริ่มเตรียมตัวยังไงดี

    ฝึกทำ Practice Test อย่างน้อย 1ชุด เพื่อให้เห็นลักษณะ passages และคำถาม โดยจับเวลาตอนทำ แล้วดูว่าได้คะแนนเท่าไหร่ ทำทันหรือไม่ หลังจากนั้นลองวิเคราะห์จุดอ่อนของตนเองในแต่ละพาร์ท เพื่อดูว่าจะต้องเน้นฝึกในเรื่องใดเป็นพิเศษ

  • สอบหลายรอบแล้วคะแนนไม่ขึ้นทำไงดี

    ต้องเรียนรู้จากข้อผิดพลาดโดยการวิเคราะห์จุดผิดและหาเหตุผลให้ได้ว่าทำไม Choice ที่เลือกจึงผิด และChoice ที่ถูก ถูกเพราะอะไร เพื่อฝึกซ้ำๆ ในเรื่องนั้นให้ชำนาญ ส่วนในพาร์ท Writing อาจมีไวยากรณ์บางเรื่องที่ทำให้เราผิดซ้ำๆ เช่น Punctuation, Agreement, และTransition ก็ต้องแยกออกมาฝึกเฉพาะเรื่องนั้นให้ชำนาญก่อน เมื่อพร้อมแล้วจึงเริ่มทำข้อสอบจริง

  • อะไรยากที่สุดใน Digital SAT

    ส่วนมาก พาร์ท Reading จะยากกว่า Writing ด้วยเหตุผลหลักๆ 2 อย่างคือ

    1. ทำไม่ทัน เพราะบทความค่อนข้างยากและซับซ้อน ต้องอาศัยการตีความ แต่มีเวลาในการอ่านเฉลี่ยเพียงเรื่องละ 13 นาทีเท่านั้น

    2. อ่านไม่เข้าใจ โดยเฉพาะหัวข้อ History เพราะบริบทไม่เกี่ยวกับบ้านเรา เช่น เอกสารการก่อตั้งประเทศอเมริกา (Founding Documents) และบางครั้งงานเขียนก็เก่ามาก ทำให้เจอสำนวนโบราณที่ไม่คุ้นเคย โครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน แนวความคิดเชิงปรัชญา และข้อโต้แย้งทางการเมืองที่น้องๆไม่เข้าใจ

  • SAT Subject tests กับ SAT แตกต่างกันอย่างไร?

    SAT Subject tests เป็นการวัดความถนัดแยกเป็นรายวิชา ซึ่งมีให้เลือกสอบหลากหลายวิชา ในประเทศไทยจะเน้นคะแนนใน 4 รายวิชา ได้แก่ Physics Chemistry Biology และ Math Level II (ตอบผิดติดลบ 0.25 คะแนน) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคณะว่าเลือกใช้คะแนนวิชาใดในการพิจารณา คณะที่นิยมใช้คะแนน SAT Subject tests จะเป็นคณะฝั่งสายวิทย์

    ในขณะที่ SAT จะเน้นทดสอบทักษะความเข้าใจและการประยุกต์ใช้คณิตศาสตร์พื้นฐาน ตลอดจนทดสอบความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ วัดความเข้าใจและตีความ บทความ และงานเขียนในรูปแบบต่างๆ ดังนั้น ทุกคณะสายศิลป์ในไทยที่เป็นหลักสูตรนานาชาติ ส่วนใหญ่จะนิยมใช้คะแนนสอบ SAT เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา

  • SAT Subject tests สอบเมื่อไหร่? สมัครที่ไหน?

    (อ้างอิงกำหนดการของปี 2019) SAT Subject tests จะจัดสอบ 5 รอบต่อปี ได้แก่ เดือน MAY JUNE OCT NOV และ DEC ซึ่งสอบวันและเวลาเดียวกันกับ SAT ดังนั้นหากรอบใดที่มีการสอบพร้อมกันน้องจะต้องเลือกสอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งการสมัครสอบต้องดำเนินการผ่าน Website www.collegeboard.org เท่านั้น โดยชำระเงินผ่านบัตรเครดิต

  • SAT MATH , SAT Subject tests Math Level 1 และ Math Level 2 ต่างกันอย่างไร?

    ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการสอบ SAT แบ่ง 2 ประเภทได้แก่

    1. SAT (หรือ SAT I) ประกอบไปด้วย 2 ส่วนได้แก่ SAT Math และ SAT Reading & Writing เมื่อน้องสมัครสอบ SAT แล้วน้องต้องสอบทั้งเลขและอังกฤษ เพราะถือเป็นข้อสอบเดียวกัน (แต่ถ้าคณะที่น้องต้องการจะยื่นคะแนน require แต่ SAT Math น้องสามารถส่งเฉพาะคะแนน SAT Math แยกให้คณะได้)

    2. SAT Subject Test (หรือ SAT II) ประกอบไปด้วยหลายวิชา เช่น
    SAT Subject Test Math Level 1
    SAT Subject Test Math Level 2
    SAT Subject Test Physics, Chemistry และ Biology
    เวลาน้องสมัครสอบ SAT Subject Test สามารถเลือกสอบได้ตั้งแต่ 1-3 วิชา ใช้เวลาวิชาละ 1 ชั่วโมง

    รูปแบบการสอบและการคิดคะแนน

    – SAT MATH ตอบผิดไม่ติดลบ และมีทั้งพาร์ทที่ใช้และห้ามใช้เครื่องคิดเลข
    – SAT Subject tests Math Level 1, 2 ตอบผิดติดลบ 0.25 และสามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ทั้งข้อสอบ

    เนื้อหาของข้อสอบ

    – SAT MATH จะเทียบเท่าเนื้อหาเลขม.ต้น แต่จะมีความยากในส่วน word problems และ data analysis ที่เป็นโจทย์ปัญหาอ่านยาวๆ
    – SAT Subject tests Math Level 1, 2 เนื้อหาเทียบเท่าเลขม.ปลาย มีครบแทบจะทุกบทที่น้องเรียนในหลักสูตรไทย เช่น  function, trigonometry (ตรีโกณ), conic section (ภาคตัดกรวย) ฯลฯ

    และ เนื้อหาของ Math Level 2 จะกว้างกว่า Math Level 1 ดังนั้นถ้าน้องเตรียมเนื้อหาและฝึกโจทย์ของ Math Level 2 จะครอบคลุม Math Level 1 แน่นอน

    การยื่นคะแนน

    -คณะอินเตอร์สายศิลป์ แทบจะทุกคณะ ทั้งบริหารธุรกิจ, เศรษฐศาสตร์, สถาปัตย์ฯ, นิเทศฯ เช่น BBA CU,TU , EBA CU, BE TU, INDA CU จะใช้คะแนน SAT Math เป็นหลัก
    -คณะอินเตอร์สายวิทย์ เช่น วิศวะอินเตอร์, ทันตแพทย์อินเตอร์ เช่น ISE CU, MIDS Mahidol จะกำหนดให้ยื่นคะแนน SAT Subject test Math Level 2 แทน

  • การสอบ SAT Subject test หากเลือกสอบหลายวิชาต้องเริ่มสอบวิชาอะไรก่อน?

    ในการสอบ SAT Subject test น้องๆจะได้ข้อสอบและกระดาษคำตอบมาพร้อมกันหลายวิชา โดยน้องสามารถกำหนดได้เองว่าต้องการเริ่มสอบวิชาไหนก่อน ผู้คุมสอบจะจับเวลา 1 ชม. ต่อวิชา ทั้งนี้น้องสามารถเลือกสอบได้สูงสุด 3 วิชา ในการสอบหนึ่งรอบครับ

  • BMAT คืออะไร? คะแนนใช้ทำอะไร?

    BMAT (Biomedical Admission Test) คือ การสอบเฉพาะทางสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อในสาขาการแพทย์ สัตวแพทย์ ซึ่งจัดทำโดย Cambridge Assessment โดยเมื่อปีการศึกษา 2560  หลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดรับนักศึกษาแพทย์โดยการยื่นคะแนน BMAT เป็นปีแรก และในปีต่อๆมาก็มีคณะแพทย์ชื่อดังของมหาวิทยาลัยต่างๆ เปิดรับนักศึกษาแพทย์โดยใช้คะแนน BMAT มากขึ้น ได้แก่  แพทย์จุฬาฯ , แพทย์ รามาฯ , แพทย์ขอนแก่น , แพทย์เชียงใหม่ , แพทย์ลาดกระบัง , แพทย์ มศว. และ University of Nottingham (Joint Medical Programme) , แพทย์ ธรรมศาสตร์ (CICM) และ ทันตะ ธรรมศาสตร์ (CICM)

  • ข้อสอบ BMAT มีกี่ PART? ออกสอบอะไรบ้าง?

    ข้อสอบ BMAT แบ่งออกเป็น 3 parts ด้วยกันครับ ได้แก่

    PART 1: APTITUDE & CRITICAL ANALYSIS
    ทดสอบทักษะทั่วไปในการแก้ปัญหา ความเข้าใจ การโต้แย้ง และการวิเคราะห์ข้อมูลและการอนุมาน
    จำนวนข้อ : 35 multiple-choice questions , เวลา 60 นาที

    PART 2 : SCIENTIFIC KNOWLEDGE
    เนื้อหาครอบคลุมวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และชีววิทยา
    จำนวนข้อ : 27 multiple-choice questions , เวลา 30 นาที

    PART 3 : WRITING
    ความสามารถในการเลือกพัฒนา หรือจัดการความคิด และสื่อสารด้วยการเขียน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ เป็นการเขียนตอบคำถาม 1 ข้อ โดยเลือกจาก 3 ข้อที่ให้มา , เวลา 30 นาที

  • ยื่นด้วยคะแนน  BMAT ต้องเข้าไปเรียนแบบอินเตอร์และมีค่าใช้จ่ายแบบอินเตอร์ หรือไม่?

    ไม่ใช่ครับ สำหรับ แพทย์ จุฬาฯ , แพทย์ รามาฯ, แพทย์ ขอนแก่น , แพทย์ เชียงใหม่  น้องจะได้เข้าไปเรียนรวมกับเพื่อนๆที่รับผ่านช่องทาง กสพท ซึ่งจะชำระค่าเทอมเท่ากันหมด ไม่ได้จ่ายแพงเหมือนหลักสูตรอินเตอร์

  • ไม่มีพื้นฐานมาก่อน สามารถเรียนคอร์ส BMAT ได้มั้ย?

    สำหรับ Part 1 น้องควรผ่านการเรียนคอร์ส Foundation มาก่อน เพื่อสร้างพื้นฐานและหลักการคิดอย่างเป็นระบบ และช่วยเสริมให้การเรียนคอร์สเนื้อหามีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ในส่วนของ Part 2 น้องจำเป็นต้องผ่านการเรียนคอร์สเนื้อหามาก่อน เช่น SAT Subject test หรือ คอร์สเนื้อหาม.ปลาย เนื่องจากคอร์สเรียนออกแบบมาเพื่อเน้นการตะลุยโจทย์ ดังนั้นพี่ๆจะ Assume ว่าน้องผ่านการเรียนเนื้อหามาแล้ว

    และในส่วนของ Part 3 หากต้องการเสริมทักษะการเขียนให้แน่นขึ้น สามารถเรียนคอร์ส Reading&Writing Essentials ก่อนการเรียน BMAT Writing ได้ครับ