เตรียมตัวสอบ SAT Math + SAT Verbal ให้ได้ 1,450 ภายในเวลา 9 เดือน

         สวัสดีค่ะ เราชื่อว่าไหมนะคะ วันนี้ไหมจะมารีวิวขั้นตอนเตรียมตัวสอบ SAT Math และ SAT Verbal ภายในระยะเวลา 9เดือน ด้วยประสบการณ์เตรียมตัวของไหมเองค่ะ ตอนนั้นไหมรู้ตัวว่าอยากเรียนทางด้าน Economics และ Business ทำให้ลังเลระหว่าง BE หรือ BBA ค่ะ ไหมเลยพยายามหาข้อมูลทั้ง 2 คณะให้ได้มากที่สุด โดยการหาจาก Internet บ้าง ถามจากรุ่นพี่บ้าง แล้วก็มาร่วมกิจกรรม Open house ต่างๆ  ซึ่งระหว่างหาข้อมูลไหมก็ต้องเตรียมตัวเรื่องคะแนนไปด้วย โชคดีที่ทั้ง 2 คณะนี้ใช้คะแนนในการยื่นคล้ายๆ กันค่ะ

         *สำหรับไหมตั้งใจจะเข้าที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เลยเลือกสอบ SAT กับ TU-GET ค่ะ (TU-GET ใช้ได้แค่ที่ธรรมศาสตร์) เพราะค่อนข้างง่ายและราคาเบากว่าข้อสอบอื่นๆ แต่สำหรับคนที่อยากเข้าที่อื่นด้วยแนะนำสอบ IELTS นะคะ

เกณฑ์ข้างต้นที่เห็นเป็นแค่เกณฑ์ขั้นต่ำเท่านั้น การจะติดได้จำเป็นต้องได้คะแนนสูงกว่านี้ค่ะ โดยสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องคะแนนต่างๆ และสถิติคะแนนที่ Website ของคณะได้เลยนะคะ!

 

         ไหมเป็นคนที่มีพื้นฐานอังกฤษพอใช้ได้เพราะมีโอกาสได้เรียน English program ในตอนประถมต้น และก็มีโอกาสได้ไปแลกเปลี่ยนปีนึงที่อเมริกาตอนมัธยมปลาย แต่ 600 กว่าที่ได้มาในครั้งแรก ไหมคิดว่าไม่ได้ได้มาเพราะไปแลกเปลี่ยน แต่เป็นเพราะได้ไปฝึกอ่านจับใจความเยอะมากๆ ที่นู้นต่างหากค่ะ (ตอนนั้นได้ฝึกอ่านเยอะมากๆ เพื่อเก็บหลักฐานมา support ข้อโต้แย้งของเราใน essay) ดังนั้นทุกคนที่ไม่ได้ไปแลกเปลี่ยนหรือไม่มีโอกาสสัมผัสภาษาอังกฤษเยอะอย่ากลัวเด็ดขาดนะคะ อยู่ไทยเราก็ทำได้ การไปแลกเปลี่ยนมันสร้างบรรยากาศให้เราเก่งขึ้นได้จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอยู่ไทยเราจะทำไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ!

Timeline ปี 2018: ช่วงที่เริ่มอ่านเตรียมตัวจริงจัง

(ในปี 2017 เคยลองสอบรอบ June แต่ยังไม่ได้เตรียมตัวจริงจัง ได้ 1290: Eng 610, Math 680)

จาก Timeline ข้างต้นจะเห็นได้ว่าไหมมีเวลาเตรียมตัวจริงจังทั้งหมด 9 เดือนเท่านั้น ไหมจึงเริ่มเตรียมตัว SAT MATH และ SAT Verbal ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ 

เริ่มที่เดือน April >> เดือนนี้เริ่มต้นเตรียมตัวจริงจังเพื่อสอบตอนเดือน May

SAT Math

         เนื่องจากก่อนหน้านี้ไหมเตรียมตัวอ่าน SAT MATH มาเองบ้างอยู่แล้ว และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีปัญหากับวิชานี้มากจึงลงเรียนคอร์ส Advanced SAT Math ของ ignite by Ondemand (ทาง ignite มีให้ทดสอบเพื่อหาคอร์สที่เหมาะสมกับเราที่สุดก่อนลงค่ะ) คอร์สนี้ใช้เวลาประมาณ 45 ชั่วโมง โดยเรียนสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน และพอเรียนจบก็ไปติวก่อนสอบที่ ignite เกือบทุกครั้ง คอร์สนี้ไหมชอบตรงที่มีสรุปเนื้อหาภาพรวมทั้งหมด แล้วก็มีการให้ทำโจทย์ที่ตรงกับเนื้อหานั้นๆ ทำให้เราไม่ลืมเนื้อหาที่เพิ่งเรียนไป และรู้วิธีนำมาประยุกต์กับโจทย์ได้อย่างรวดเร็วค่ะ นอกจากนี้ก็ชอบที่มีการจัดติวก่อนสอบมากๆ เพราะว่าจะมีการอัพเดดเนื้อหาที่ออกบ่อยๆ และฝึกตรงจุดนั้นและก็จุดอื่นๆที่สำคัญ ทำให้เราทันข้อสอบอยู่ตลอดค่ะ 

         นอกจากเรียนพิเศษที่ ignite แล้วสิ่งที่ไหมทำแล้วช่วยมากๆเลยคือ อ่านหนังสือเสริม และ การทำข้อสอบข้อสอบที่คล้ายจริง

สำหรับข้อสอบหลักๆ ที่ไหมทำคือ College board practice test ชุด 1-8, ข้อสอบ QAS ที่ถูกปล่อยออกมา และ The College Panda 10 Practice Tests ค่ะ

         ส่วนหนังสือเสริมที่ไหมอ่านคือ SAT PANDA Advanced Guide และ Math Workbook ของ Kaplan หนังสือทั้งสองเล่มนี้แต่ละบทจะแยกเรื่องที่เราควรรู้ไว้ และมีแบบฝึกหัดท้ายบทที่รวมแค่เรื่องนั้นๆ ไว้ด้วย เราไม่แม่นสกิลสามารถกลับไปอ่านทวนได้ง่ายๆเลยค่ะ (SAT Panda ดีกว่าแต่อาจจะมีเรื่องใหม่ๆบางเรื่องที่ SAT ออกที่ไม่ครอบคลุม) เทคนิคของไหม คือ เน้นทำเอง ฝึกโจทย์แยกสกิล  จับเวลา และทำซ้ำไปเรื่อยๆ เน้นคุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณ ทำสมุดจดข้อผิดพลาดและอ่านก่อนทำชุดใหม่เพื่อปิดจุดอ่อน และอ่อ่านเรื่องที่ข้อสอบเน้นๆ และเพิ่งออกเรื่องนี้ไม่นานคือ

  • Stat (Sampling)
  • Box and whisker plot

จดทุกข้อผิดพลาดสำหรับเลขที่เคยทำไว้ในสมุด 1 เล่มและพยายามอ่านทวนก่อนทำข้อสอบชุดใหม่

และก็ได้เข้าไปอ่านหนังสือที่พี่ภัทร์ แนะนำให้อ่านก่อนสอบที่บทความนี้: 5 Review หนังสือ SAT Math อ่านเล่มไหน ได้เต็มชัวร์!!

(น้องๆ ignite สามารถดูรีวิวข้อสอบ SAT Math ปี 2018 โดยพี่ภัทร์ ได้ที่บทความนี้: REVIEW ข้อสอบ SAT MATH ปี 2018 ทุกรอบ!!)

SAT Verbal – เน้นการอ่านเองเป็นหลัก

MY SAT STRATEGY

         ไหมว่าการวางกลยุทธ์ก่อนการเริ่มอ่าน SAT เป็นอะไรที่สำคัญมากๆ ปกติไหมจะวางแผนโดยเริ่มจากการไปดูตารางเทียบคะแนน SAT ตัวอย่างในเน็ต (แม้มันจะไม่เหมือนที่เขา score คะแนนจริง100% แค่เอาพอเป็นแนวได้ค่ะ) แล้วตั้งไว้เลยว่าเราอยากได้ซักเท่าไหร่รอบนี้ จากนั้นก็คำนวณคร่าวๆว่าเราควรผิดพาร์ทไหนกี่ข้อ

(โดยน้องๆ ignite สามารถมาศึกษาแนวข้อสอบ SAT Verbal อย่างละเอียดได้ที่:  รีวิวข้อสอบ SAT VERBAL ปี 2018 )

สำหรับกลยุทธ์ที่ไหมใช้คือ ทำ Math ให้เกือบเต็มหรือเต็มให้ได้ และ writing ก็เช่นกันค่ะต้องผิดให้ได้น้อยสุด เพราะมันง่ายกว่า reading เยอะมาก เราควรทุ่มเทในการฝึกสกิลแยกย่อยของ writing ค่ะ 

โดยช่องทางที่ดีในการฝึกสกิลย่อยของ writing นะคะคือ

  1. หนังสือ SAT Grammar ของ Erica
  2. Khan academy ตรง Grammar and effective language use
  3. หนังสือ SAT panda writing

         โดยส่วนตัวแล้วไหมใช้ทั้งสามช่องทาง แต่ที่ใช้แบบอ่านจนจบหมดเกลี้ยงคือ SAT Grammar ของ Erica ค่ะ (SAT panda ไหมมาเจอตอนจะสอบแล้วเลยไม่ได้ใช้จนหมด แต่พบว่าดีมากเหมือนกันค่ะ)

         พอฝึกสกิลย่อยๆ จนแม่นแล้ว ไหมค่อยมาลุยทำข้อสอบค่ะ ตั้งเป้าสุดท้ายไว้เลยเราจะผิดประมาณกี่ข้อ แล้วฝึกจนกว่าจะทำได้ตามนั้น ตอนแรกไหมผิดเยอะอยู่ค่ะเพราะยังจำสกิลย่อยไม่ได้หมด แต่ทำไปทำมา อ่านเฉลยไปมา ย้อนกลับไปย้ำสกิลแยกที่ไม่แม่น จนทำได้ตามเป้าหรือไม่ห่างมากค่ะ โดยเวลาจะรู้ได้ว่าทำได้ถึงเป้าแล้วคือตอนที่จำนวนข้อที่เราผิดนิ่งค่ะ เช่น สมมุติตั้งเป้าว่าผิดซัก 5-6 ข้อ  เราจะต้องผิดแบบนั้น สักประมาณ 5 ชุดขึ้นไปค่ะ ไม่ใช่ทำครั้งนึงผิด 5 ข้อแล้วหยุดเลยนะคะ

         โดยข้อสอบที่ไหมใช้ในการฝึก writing แล้วคิดว่าดีและตรงมากๆ คือใน Khan Academy ค่ะ ข้อสอบเขาตรงมากๆ ทั้ง writing และ reading เลย (Math ไหมไม่ค่อยได้ทำ) นอกจาก Khan แล้ว New SAT practice tests ของ ies test prep writing , the Princeton review 10 practice tests for the sat หรือที่พวกเรารู้ๆกันอยู่ว่าตรงสุดก็คือ CB ชุด 1-8, ข้อสอบ QAS ก็เป็นช่องทางที่ดีมากๆค่ะ

         แม้พวกเราจะได้ Writing กันแล้วแต่ก็อย่าทิ้ง Reading นะคะ ส่วนตัวไหมชอบ Reading ที่สุดเพราะ Passage มันน่าสนใจและก็กระตุ้นให้คิด ท้าทายดี วิธีการที่ไหมใช้พัฒนาสกิลนี้คือ

  1. ทำข้อสอบ College board practice test ชุด 1-8 + ดู เว็บไซต์ 1600io วิเคราะห์และเฉลย เขาสอนดีและละเอียดมากๆค่ะ แนะนำจริงๆ
  2. ทำข้อสอบและอ่านเฉลยไปเรื่อยๆ ช่องทางที่ใช้คือ New SAT practice tests (ของ ies test prep) , Khan Reading test และข้อสอบ QAS
  3. อ่านเทคนิคการทำ reading ในเล่ม SAT Reading ของ Erica อันนี้ไหมอ่านข้ามๆไม่เรียงบท เอาบทที่ตัวเองไม่ถนัดค่ะ
  4. พยายามท่องศัพท์ในเล่มในข้อ 3 และ ท่องศัพท์ที่อยู่ใน list ของเว็บ https://blog.prepscholar.com/sat-vocabulary-words

         พอเริ่มอ่าน SAT กันจริงจังแล้ว ไหมเชื่อว่าทุกคนค้นพบวิธีการอ่านที่ใช่สำหรับตัวเองนะคะ โดยสำหรับไหม ไหมชอบอ่านและทำวิชานึงแบบยาวๆ ไปเลยค่ะ สมมุติวันนี้ตั้งใจจะอ่าน SAT Verbal ไหมจะอ่านทั้งวันเลยค่ะ แล้วค่อยอ่าน Sat Math วันต่อไป แต่ส่วนใหญ่อาจจะเป็นแบบอาทิตย์นึงไปเลยค่ะ แล้วแต่สกิลที่ตั้งใจจะฝึก เช่นไหมตั้งใจจะแก้สิ่งที่ไม่แม่นของ Math ไหมก็จะต้องเข้าใจมันจริงๆ ว่ามีอะไรบ้าง แก้ยังไง จะอยู่กับมันจนกว่าจะแก้ได้เลยค่ะ ยกเว้นอาทิตย์ใกล้สอบจริงๆ ที่ไหมเริ่มจะทำ Verbal กับ Math สลับไปวันเดียวกันจำลองสถานการณ์ในวันที่เราจะต้องเจอจริงค่ะ

ไหมทำอย่างนี้อยู่เป็นประจำผลคะแนนรอบ MAY 2018 – ENG 670, MATH 750 (รวม 1420)

น้องๆ สามารถอ่าน Tip&Tricks พิเศษในการสอบ SAT Verbal จากพี่ข้าวได้ที่นี้บทความนี้: คัมภีร์วิธีลัดในการพิชิตคะแนน SAT VERBAL 2019

เดือน JUN – SEP ไหมก็ใช้วิธีตามด้านบนซ้ำๆ ทำอย่างมีวินัยและต่อเนื่องค่ะ

จากการอยู่กับ SAT มาพักหนึ่ง ไหมมองว่านี่คือคุณลักษณะที่ควรมีสำหรับการทำ SAT นะคะ

1. ต้องสนุกกับ SAT

อันนี้คือ Mindset แรกๆเลยที่ควรมีนะคะ เราชอบอะไรเราก็จะทำมันได้ดี อย่าคิดว่ามันคือข้อสอบ (ถ้ามันทำให้เราเครียด) คิดซะว่า SAT คือเพื่อนที่เราจะต้องตีซี้ให้ได้มากสุด หรือครูที่กำลังจะมาสอนบทเรียนอันยิ่งใหญ่ให้เราก็ได้ค่ะ

2. จงพร้อมที่จะเรียนรู้และเปลี่ยนวิธีการทำของตัวเองเสมอๆ ถ้าวิธีเดิมไม่เวิร์ก

Quote ตรงมากเลยค่ะ

‘Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results.’

ทุกครั้งที่คะแนนไหมเพิ่มขึ้นได้ ไม่ว่าจะตอนทำแบบฝึกหัดหรือข้อสอบจริง ไหมจะรู้สึกได้ว่าตัวเองได้รู้อะไรที่ตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนเสมอ เราไม่ควรทำแบบฝึกหัดรัวๆ (ควรเน้นที่คุณภาพ ไม่ใช่ปริมาณนะคะ) แต่ให้กลับมา reflect กับตัวเองด้วยว่าแต่ละชุดที่เราทำไป เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ทำสมุดจดข้อผิดพลาด/จดศัพท์ใหม่ที่เจอ/ทำสรุปสูตรเลข ของตัวเองไว้เลย (สำคัญมากๆค่ะ)!!!! และก่อนจะฝึกทำชุดใหม่ก็มาทบทวนข้อผิดของตัวเองเพื่อจะได้ไม่ผิดซ้ำซาก ทำแบบนี้จะตกผลึกความคิดว่า อ๋อ เราเคยเจอข้อแบบนี้แล้ว มันต้องคิดแบบนี้ จนกระทั่งถึงจุดที่ทำให้เราผิดน้อยลงมากๆ เพราะเราพอจับวิธีคิดของข้อสอบได้แล้ว วิธีคิดที่ถูกจะทำให้เราทำถูกค่ะ

3. รู้จักข้อสอบ

การจะซี้กับเพื่อนคนนึงได้ เราก็ต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา SAT เองก็เช่นกันค่ะ จะทำข้อสอบได้ดี จะต้องรู้ว่าคนออกเขาต้องการอะไรจากเรา โดยไหมมองว่า SAT ชอบ

– คนไม่ขี้มโน + มีเหตุผล

อันนี้สำคัญมากๆค่ะ นอกจากเราจะต้องตอบตรงคำถามแล้ว อย่าคิดเองเออเอง เชื่อมโยงเองเด็ดขาด เราต้องตอบและวิเคราะห์เท่าที่เขาให้มาเท่านั้นนะคะ (อันนี้กับ reading ใช้เยอะมาก)

  • Reading — เขาจะชอบหลอกให้เราไปหลงวนเวียนกับข้อมูลที่มันสรุปไม่ได้ใน passage บางทีข้อ choice ก็ให้ข้อมูลเยอะเกินไป น้อยเกินไป ซึ่งมันจะสรุปจากเท่าที่ให้มาไม่ได้ค่ะ (too broad/too narrow) ไม่ก็เอาใส่ choice ที่เออเราว่ามันดูใช่นะเพราะเราเอาไปเชื่อมโยงกับสิ่งที่เคยรู้ในหัว แต่ปรากฏว่า passage ไม่ได้ state เอาไว้เลยค่ะ (แสบมาก!)
  • Writing — สำหรับไหม ไหมแนะนำว่าควรอ่านเนื้อเรื่องและเข้าใจมันระหว่างที่เรากำลังแก้ grammar ไปด้วย เพราะบางข้อเช่นควรลบ/เพิ่มข้อความ หรือจะเพิ่มข้อความไหนดีล้วนเกี่ยวกับเนื้อหาใน passage ทั้งนั้น ดังนั้นเราต้องตอบให้ตรงว่าเขาต้องการอะไรกันแน่

 

– คนไม่สะเพร่า + พื้นฐานแน่น

อันนี้เห็นชัดในเลข และ writing ค่ะ SAT ไม่ใช่ข้อสอบเลขและ writing ที่ยากมากขนาดนั้น แต่ต้องรอบคอบมากๆ พื้นฐานต้องแน่นค่ะ

วิธีฝึกพื้นฐาน คือการฝึกแยกสกิล ทีละเรื่อง และย้ำเรื่องที่ไม่แม่น

วิธีฝึกความรอบคอบ คือฝึกทำแบบจับเวลาบ่อยๆทำบรรยากาศให้คล้ายกับทำข้อสอบจริง (ถ้าเราคิดว่าพื้นฐานเราแน่นพอจะลุยได้แล้วนะคะ) รวมถึงการสวดมนต์ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมเล็กๆน้อยๆ ฝึกให้ตัวเองมีสติในตอนกำลังทำสิ่งต่างๆมากขึ้นจะช่วยได้เยอะเลยค่ะ

– คนอ่านเก่ง อ่านเร็ว 

SAT เป็นข้อสอบที่ผ่านไปเร็วมาก ต้องทำแข่งกับเวลาค่ะ ดังนั้นถ้าเราอ่านจับใจความได้เร็วจะได้เปรียบ ไหมขอแนะนำให้อ่านเยอะๆๆๆ แบบ active reading คือพยายามคิด จดจำและเชื่อมโยงข้อมูลไปด้วยระหว่างการอ่าน อ่าน passage sat reading จะช่วยได้เยอะมากหรือว่าอ่านข่าว/บทความภาษาอังกฤษอะไรก็ได้นะคะ ถ้าอ่านไม่รู้เรื่องหรือช้าก็ควรมานั่งวิเคราะห์ตัวเองว่าทำไมเป็นแบบนั้น เป็นเพราะเราไม่รู้ศัพท์รึเปล่านะ หรือว่า ไม่เข้าใจรูปประโยคแบบนี้เลย ต้องปิดจุดอ่อนตัวเองให้ได้ค่ะ ย้ำ! ปิดจุดอ่อน! ปิดจากการรู้จุดอ่อนแล้วแก้

เช่น ไม่รู้ศัพท์ก็หาศัพท์ SAT มาท่องเยอะๆ จากการรวบรวมเองหรือไปหาจากเน็ตก็ได้ค่ะ มีเยอะมากๆ เวลาท่องศัพท์แนะนำให้ท่องแบบรู้ว่าเอามาใช้ยังไงด้วยนะคะ อีกอย่างบางทีต้องระวัง เราอาจจะจำคำแปลพื้นฐานได้ แต่ SAT อาจจะออกคำแปลแบบ advance ได้ค่ะ เช่น appreciate ที่ใช้บ่อยๆแปลว่าเห็นคุณค่า แต่บางที SAT ก็ใช้ appreciate ที่มีความหมายว่าเพิ่มขึ้น (This house has appreciated in value.) ส่วนใน Math ก็ต้องรู้ศัพท์และรู้ว่าถ้าถามแบบนี้แสดงว่าต้องทำแบบนี้ จะได้อ่านเร็ว เข้าใจโจทย์ค่ะ

         ถ้าน้องๆ คนใดต้องการผู้ช่วยในการเตรียมตัวสอบ SAT ไม่ว่าจะเป็น SAT Math หรือ SAT Verbal สามารถเข้ามาสอบถามคอร์ส SAT ของเราที่มีให้น้องๆสามารถเลือกเรียนได้หลากหลายรูปแบบ ดูข้อมูลคอร์สเรียนได้ที่:

สามารถดูข้อมูลคอร์ส SAT Math เพิ่มเติมได้ที่ >> https://www.ignitebyondemand.com/our-courses/sat-math-cu-aat/

สามารถดูข้อมูลคอร์ส SAT Verbal เพิ่มเติมได้ที่ >> https://www.ignitebyondemand.com/our-courses/sat-verbal/

Shop online

Related Blog & News

ข่าวสารและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง

Comments

Comment Write a comment...