5 เทคนิคสอบ IELTS Speaking อย่างไรให้ผ่านฉลุย by Kru Tan Native Speaker

สำหรับน้องๆ ที่ต้องการเรียนต่อมหาวิทยาลัยหลักสูตรอินเตอร์ หรือเรียนต่อต่างประเทศ แน่นอนว่าการสอบวัดระดับภาษาคือเรื่องที่สำคัญมากถึงมากที่สุดเลย เพราะนี่คือหนึ่งใน Requirements ที่เป็นจุดวัดว่าน้องสามารถผ่านด่านประตูแรก หรือยื่นสมัครได้รึเปล่า
หนึ่งในการสอบที่ถือได้ว่าเป็นรูปแบบสุดฮิตที่น้องๆ ส่วนใหญ่เลือกกันก็คือการสอบ “IELTS” นั่นเอง เนื่องจากสามารถใช้ยื่นได้ในเกือบทุกสถาบัน เรียกได้ว่าเกือบทุกมุมโลกยอมรับในผลสอบนี้ แต่ยังไงก็ตามการสอบ IELTS ถือว่าหินเลยทีเดียวหากน้องๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก โดยเฉพาะพาร์ท Speaking
วันนี้พี่ๆ ignite เลยพาครูแทน สุดยอดติวเตอร์ภาษาอังกฤษจาก Ignite มาแชร์เทคนิคและจุดโฟกัสว่า “ทำยังไงดีนะ ถึงจะผ่านด่าน IELTS Speaking ไปได้?” สำหรับใครที่ยังไม่รู้ Kru Tan ของชาว ignite เป็น Native Speaker ที่เติบโตและศึกษาที่ประเทศอังกฤษ พร้อมดีกรีจาก Queen Mary U. of London ทำให้ทักษะในการสื่อสารของครูแทนเรียกได้ว่าลื่นไหนสุดๆ ไปเลย วันนี้เราเลยจะพาคุณครูมาแชร์มุมมองจากเจ้าของภาษา เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า!
Overview on IELTS Speaking: การสอบเป็นยังไงนะ?
เป็นที่ทราบกันดีว่า IELTS นั้นจะมีทั้งหมด 4 พาร์ท ได้แก่ Reading, Listening, Writing, and Speaking ในการนำคะแนนไปยื่นมหาวิทยาลัยท็อปปัจจุบันนั้น บางแห่งอาจจะรับพิจารณาตั้งแต่ Overall Band 6.0 แต่หากให้เซฟ น้องๆ ควรจะมีคะแนนที่ 7.0+ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่จะมีการ require ว่าแต่ละพาร์ทน้องๆ จะต้องได้คะแนนเท่าไหร่ขึ้นไป ซึ่งเเปลว่า แม้คะแนนรวมจะถึง เเต่หากคะแนนในทักษะใดทักษะหนึ่งไม่เข้าเกณฑ์ก็ไม่สามารถยื่นได้
และแน่นอนว่า IELTS Speaking ก็เป็นหนึ่งในพาร์ทสุดโหดของน้องๆหลายคน เนื่องจากเป็น part ที่ต้องใช้ความลื่นไหลทางภาษา ต้องใช้ระยะเวลาในการฝึกฝน และการเก็งโจทย์ทำได้ยากกว่าทักษะอื่นๆ เรียกได้ว่าต้องใช้ไหวพริบค่อนข้างมาก ที่นี้เรามาเริ่มลงลึกกันในตัวพาร์ท Speaking กันดีกว่าว่าการสอบถูกแบ่งเป็นกี่ส่วน
ในส่วนของการวัดทักษะการพูดนี้จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ ก็คือ:
Part 1: General Questions
Part 2: Topic Communication
Part 3: Two-Way Discussion
รีวิวข้อสอบ IELTS Speaking

พาร์ทที่ 1 General Question (7-11 Questions: 5 Minutes)
ในส่วนนี้จะเป็นช่วง warm up ของการสอบพาร์ทพูดเลยก็ว่าได้ เนื่องจากตัวคำถามจะยังตรงตัวและไม่ต้องอาศัยการคิดวิเคราะห์เรียบเรียงคำพูดมากเท่าพาร์ทอื่นๆ
Examiner จะถามคำถามซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับ Personal Background หรือเรื่องรอบตัวน้องๆ โดยหากดูจำนวนคำถามกับเวลารวมแล้ว เวลาตอบคำถามแต่ละข้อของน้องๆจะมีเพียง 30 วินาที ดังนั้นควรจะเลือกตอบประมาณ 3-4 sentences ต่อข้อ (แต่ไม่ตอบแบบถามคำตอบคำ น้องๆต้องตอบแบบมีการอธิบาย)
ตัวอย่างคำถามที่พบบ่อยๆ จะเป็นหมวด Work, Study, and Hometown เช่น:
What do you study?
Is that subject popular in your country?
What is your hometown like?
พาร์ทที่ 2 Topic Communication (2 Minutes)
ในพาร์ทนี้จะเป็นการ Discuss หัวข้อที่ได้รับจากการ์ด (Topic Card) โดยส่วนใหญ่แล้วในหัวข้อที่ได้รับจะมีคำถามย่อยอยู่ด้วย เป็นไกด์ไลน์ในการเล่าคำตอบให้น้องๆ โดยหลังจากได้รับกระดาษโจทย์ จะมีเวลาให้น้องๆ เตรียมตัวประมาณ 1 นาที น้องต้องใช้เวลานี้เขียนโน้ตคำตอบสั้นๆ จากนั้นเมื่อครบเวลาจึงเล่าความเห็นหรือคำตอบของตนเองประมาณ 2 นาที โดยในพาร์ทนี้ Examiner จะไม่ได้มีการพูดคุยกับผู้สอบ (ยกเว้นในกรณีที่ผู้สอบเริ่มคิดคำตอบไม่ออกหรือเกิดการติดขัด ก็อาจมีการช่วยถามต่อเสริมบ้าง)
ตัวอย่างคำถามที่พบบ่อย: Social/ Economics/ Politics เช่น:
Describe a newspaper or magazine you enjoy reading.
Describe a language you would like to learn.
Describe a successful small business that you know about.
พาร์ทที่ 3 Two-Way Discussion (4-8 Questions: 4-5 Minutes)
ในส่วนที่ 3 จะเป็นการถาม-ตอบ Examiner แต่เนื้อหาลงลึกและมีการวิเคราะห์มากกว่าพาร์ท 1 นอกจากนี้ในบางครั้งคำถามของพาร์ท 3 ก็มีการเกี่ยวโยงกับหัวข้อที่น้องๆได้รับในพาร์ท 2 อีกด้วย โดยคำถามที่อาจจะเจอบ่อยจะเป็นเชิงให้น้องๆแสดงเหตุผลจากสมมติฐาน เล่าเรื่องราวที่ผ่านมา หรือให้เปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อสองสิ่ง เป็นต้น
ตัวอย่างคำถามในพาร์ท 3 เช่น:
Do you think computers will one day replace teachers in the classroom?
Do you think diet is important?
What are the environmental issues in your country?
5 Techniques from Kru Tan: เตรียมตัวยังไงดี ในมุมมองของ Native Speaker

1. Go through word lists, and tick off the difficult ones.
โฟกัสที่จุดยากที่สุดคือเรื่องสำคัญ เพราะนี่จะเป็นส่วนที่ช่วยดึงคะแนนน้องๆ ออกมา ครูแทนขอแนะนำว่าในการเตรียมตัวสอบ IELTS นั้น น้องๆ มักจะมีคลังคำศัพท์ที่จับไปใช้ใน Topic ต่างๆ ได้ แต่จุดไล่คะแนนสำหรับน้องที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษบ่อยๆในชีวิตประจำวันก็คือ “การออกเสียงที่ผิด” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสำเนียงที่ไม่เหมือน Native แต่คือการออกเสียงคำซึ่งไม่ชัดเจนพอ และอาจเกิดการ mistaken เป็นคำอื่นๆ หรือ examiner อาจจะแบล้งก์ไปเลยก็ได้ว่า เอ้ะ คำที่น้องพูดคำนั้นคืออะไรนะ
ดังนั้นครูแทนแนะนำว่าให้กรุ๊ปคำที่มักออกเสียงผิดบ่อยๆ มาฝึกพูด เพราะน้องหลายๆ คนรู้จักความหมายและการนำไปใช้ที่ถูกต้องแล้ว แต่ก็จะได้คะแนนไปในพาร์ทการเขียนซะมากกว่า เนื่องจากพอจับคำมาใช้ใน Part Speaking กลับสื่อสารได้ไม่เคลียร์ ยกตัวอย่างคำง่ายๆ ที่มีการออกเสียงผิดบ่อยๆเลย เช่น maniac, debut, chaos, paradigm หรือบางครั้งการออกเสียงคำเบสิกอย่าง want ผิด (ลืมออกเสียงตัว T ตอนท้าย) ก็มีผลเหมือนกันนะ
ถ้าหากน้องรู้คำศัพท์ advanced ออกเสียงถูก และจับมาใช้ใน context ที่ถูกต้อง ก็จะโชว์ให้เห็นได้ว่าน้องมีความหลากหลายและคล่องตัวในการใช้ภาษา
2. Similar to the IELTS Writing part, you’ve got to structure your answer!
หลายคนอาจจะคิดว่าการพูดคุยแบบ fluent เนี่ยเป็นจุดหลักของการสอบ Speaking แต่ครูแทนต้องขอเสริมเทคนิคด้วยว่า การตอบคำถามในพาร์ท Speaking ของ IELTS นั้นต้องมี Structure ที่ดีด้วยนะ ซึ่งนี่จะคล้ายๆ กับพาร์ท Writing ควรโฟกัสส่วนโครงสร้างและการเรียงอธิบายคำตอบด้วย
เราลองมาดูกันที่พาร์ท 2 ซึ่งจะมีลักษณะเป็น Long Discussion เป็นการเล่าคำตอบยาวประมาณ 2 นาที และเป็นการเล่าเนื้อหาแบบ In-depth ในหัวข้อๆ หนึ่ง ดังนั้นน้องต้องใช้เวลาที่ทางการสอบเว้นให้เตรียมคำตอบ ลิสต์ออกมาว่าจะเริ่มเรียงการเล่ายังไง เพื่อที่เมื่อถึงเวลาตอบจริงจะได้ไม่พูดวกไปวนมา เรียง Sequence ผิด หรือบางคนนึกพูดไปและนึกคำพูดต่อไม่ออกกลางคันก็มีเช่นกัน หลักๆ แล้วครูแทนแนะนำให้น้องๆ เรียงคำตอบดังนี้
- Topic Sentence:
เริ่มเเรกน้องๆ ต้องให้ Direct Answer กับหัวข้อหรือคำถามที่ได้รับพร้อม Paraphrase ตัวหัวข้อเพื่อสร้างความชัดเจนว่าความคิดเห็นของน้องเป็นอย่างไรในเรื่องไหน และให้เกิดความเชื่อมโยงกับพาร์ทอื่นๆ ที่น้องจะเล่าต่อๆไป เช่น
Topic: Describe a piece of clothing that you like wearing.
Answer: To begin with, I’d like to get cracking by pointing out what type of clothes it is, and I have to go for the hooded sweatshirt which my mother gave me as a gift on my 18th birthday.
ในที่นี้มีการตอบคำถามได้ตรงประเด็นจากหัวข้อว่าเสื้อผ้าตัวโปรดนั้นคืออะไร (เป็นเสื้อ Sweater) พร้อม back up ด้วยดีเทล (..which my mother gave me as a gift on my 18th birthday) - Explanation:
แน่นอนว่าทุกคำตอบที่ดี ควรจะมีเหตุผลมารองรับเสมอ ในมุมมองของผู้ฟังนั้น เมื่อฟังคำตอบของน้องๆอย่างเดียวอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมเรามีความคิดเห็นหรือคำตอบเช่นนั้น ดังนั้นการให้คำอธิบายจะช่วยเพิ่มความชัดเจนของคำตอบ แล้วยังเพิ่ม Fluency and Coherence รู้จักเชื่อมโยงวลีและประโยคต่างๆ ด้วย - Example:
หลังจากที่น้องๆ ให้เหตุผลแล้ว ครูแทนแนะนำให้ยกตัวอย่าง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นภาพได้ชัดอีกเสต็ปหนึ่ง เช่น หาก Topic ให้น้องเล่าถึงเพื่อนคนโปรด โดยน้องๆ อาจให้เหตุผลว่าที่เป็นคนโปรดเพราะเพื่อนคนนั้นสามารถพูดคุยได้สนุกหรือคอยอยู่ด้วยกันตอนมีปัญหา น้องควรยกตัวอย่างเพิ่มเติมถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหตุผลนั้น เช่น:
The reason that I like him is that he’s great to have a chat with. “For instance, a while back I was having problems with my work, and I was really feeling stressed. I didn’t really have anyone to talk to at the time as my family was abroad and a couple of my good friends were not around…
3. Critical Thinking is Key: มองหาแนวคิดที่แตกต่าง จากสิ่งรอบตัว
ถึงแม้ว่าตัว Criteria ของ IELTS Speaking นั้นจะอยู่ที่ 4 แกนหลัก: Fluency & Coherence, Lexical Resource, Grammatical Accuracy และ Pronunciation แต่ทั้งหมดนี้จะอยู่รายล้อมจุดหลักซึ่งก็คือเนื้อหาที่น้องจะเล่าออกไป หลายๆคนไม่สามารถตอบคำถามได้เนื่องจากมีความรู้ไม่พอเกี่ยวกับ Topic ที่ได้รับ แม้ว่าทักษะการใช้ภาษาจะดี ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น บางคนได้รับโจทย์เรื่อง Nuclear หรือ Environmental Management ไปต่อไม่ถูกกันก็มี
โดยหลักๆ แล้วหัวข้อของ IELTS Speaking จะถูกวางอยู่บน 3 เรื่องหลักๆคือ “Social, Economics, และ Politics” น้องๆอาจต้องศึกษาหัวข้อเหล่านี้เข้าไว้ เพื่อจะได้รับมือกับคำถามที่ได้รับ และฝึกฝนการตอบคำถามแบบ Critical Thinking คือ คิดวิเคราะห์ รู้จักการขยายความให้เหตุผล มากกว่าการตอบเพียงแค่คิดว่าสิ่งนั้นผิดหรือถูก
4. Read a lot, it helps! : ฝึกอ่านให้เยอะ เพิ่มคลังคำศัพท์
เชื่อหรือไม่ว่าการอ่าน ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเตรียมพร้อม IELTS Speaking เหมือนกัน นอกจากการที่ช่วยให้น้องๆ มีแง่มุม ทัศนะคติกับ Ongoing Topic ยังช่วยเพิ่มความหลากหลายของคำศัพท์ (Lexical Resource) อีกด้วย
ครูแทนแนะนำว่าการอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษเป็นตัวช่วยที่ดีทางหนึ่งเลย พยายามปรับมุมมองให้การอ่านข่าวเป็นเรื่องน่าสนุก เรื่องน่าสนใจ และน้องๆ จะซึมซับคำศัพท์ได้รวดเร็วขึ้น โดยหากน้องๆ ไม่ได้อยู่ใน environment ที่คนรอบข้างพูดคุยกันด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก การฟังรายการภาษาอังกฤษ บวกกับอ่านเนื้อหาภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน จะช่วยสร้างความคุ้นเคยมากขึ้น
5. It’s about mentality, be confident!
เทคนิคสุดท้าย คือการเสริมความมั่นใจในการพูด จากประสบการณ์ของครูแทน มีน้องๆ หลายคนที่มีทักษะทางด้านภาษา หากเสริมความมั่นใจเข้าไปจะเป็นตัวช่วยคะแนนได้เช่นกัน เพราะหากน้องๆ ตอบคำถามอย่างไม่แน่ใจ สิ่งนี้ก็สามารถลด level of fluency & coherence ได้ นอกจากนี้ยังเกี่ยวโยงไปถึงการออกเสียงต่างๆ อีกด้วย เพราะนอกจากตัว “Pronunciation” แล้วเนี่ย ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “Enunciation”
ตัว Pronunciation คือการออกเสียงคำให้ถูกต้อง อธิบายง่ายๆ ก็คือการนำ Group of Letters มารวมกันออกเสียงให้ถูกหลักเกณฑ์ มี Stress and Pitch
ส่วน Enunciation คือการออกเสียงคำให้ถูกในเชิงที่ว่านอกจากสามารถกรุ๊ปสระและอักษรให้ถูกแล้ว เวลานำคำนั้นมารวมกับคำอื่นๆ เป็นรูปประโยค สามารถพูดออกมาได้เคลียร์และ precise โดยรวม
ดังนั้นนอกจากน้องๆ จะออกเสียง pronounce คำออกมาได้แล้ว ตอนพูดต้องเสริมความมั่นใจจับมาร้อยเรียงและกล้าถ่ายทอดออกมาในรูปประโยคให้เข้าใจได้อีกด้วย นอกจากนี้หลายๆ คนตื่นเต้นจนลืมคำตอบ ดังนั้นต้องพยายามฝึกจำลองการสอบจริงและปรับ mindset ไว้ว่านี่คือการมานั่งพูดคุยสร้าง conversation กันซะมากกว่า
Related Blog & News
ข่าวสารและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
-
ไม่มีหมวดหมู่, Blog, GED
GED Ready เครื่องมือ(ไม่)ลับ อัพคะแนนตามเป้า!
สวัสดีค่ะน้องๆ กลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความ GED วันนี้พี่จะมาเล่าถึงเครื่องมือในการเตรียมสอบ GED ที่สำคัญมากๆ ที่เรียกว่า GED Ready โดยเฉพาะน้องๆ ที่วางแผนอยากจะไปสอบ GED และต้องการที่จะยื่นวุฒิตัวนี้เพื่อเข้าจุฬา หรือ ธรรมศาสตร์ ซึ่งตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นไป ทางที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้กำหนดเกณฑ์คะแนนขั้นต่ำของ GED จาก 145 คะแนน (High School Equivalency) เป็น 165 คะแนน (GED College Ready) บอกเลยว่ายากกว่าเดิมมาก และที่สำคัญนโยบายใหม่ของ GED ตั้งแต่ปี 2017 (แอบไปถามทาง GED มาแล้ว ข้อมูลนี้คอนเฟิร์ม!!) ระบุว่า หากสอบผ่าน GED High School Equivalency ไปแล้ว (145/200) การทำเรื่องขอสอบใหม่เพื่อต้องการปรับคะแนนขึ้นจะไม่สามารถทำได้ทุกคนแล้วนะคะ ส่วนใครแก้ได้ใครแก้ไม่ได้เดี๋ยวพี่จะให้ข้อมูลไว้ข้างล่างค่ะ แต่เอาเป็นว่าตอนนี้มีเงื่อนไขเกิดขึ้นใหม่มากมาย สำหรับใครที่ยังยืนยันจะสอบ […]
Comments (0)
-
Blog, CU-ATS/CU-AAT
CU-ATS คืออะไร? รู้จัก CU-ATS โอกาสสำคัญในการสอบติดคณะอินเตอร์ยอดฮิต
สวัสดีทุกคนนะครับ วันนี้พี่แอดมินนำข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับข้อสอบ CU-ATS ซึ่งเป็นข้อสอบที่ช่วงนี้กำลังเป็นกระแสและน้องๆ กำลังค้นหาข้อมูลว่ามันคืออะไรกันแน่ พี่แอดมินเลยขอพาทุกคนไปทำความรู้จักว่าข้อสอบ “CU-ATS คืออะไร” พร้อมตอบทุกข้อสงสัยตั้งแต่เนื้อหาข้อสอบเป็นอย่างไร ใช้ยื่นคณะไหนได้บ้าง ค่าสมัครสอบและตารางสอบ อย่ารอช้า…พร้อมแล้วไปอ่านกันเลย !! ข้อสอบ CU-ATS คือ ข้อสอบ CU-ATS (Chulalongkorn University Aptitude Test for Science) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดความถนัดทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการพิจารณาผู้ยื่นเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี ของหลักสูตรนานาชาติ จุฬาฯ โดยลักษณะข้อสอบคล้ายกับข้อสอบ SAT Subject Tests แต่ความยากของเนื้อหาจะแตกต่างกันออกไป คณะที่สามารถใช้คะแนน CU-ATS เพื่อยื่นพิจารณาศึกษาต่อ คือ ISE คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อินเตอร์) BSAC คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมีประยุกต์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อินเตอร์) ข้อควรรู้เกี่ยวกับการสอบ CU-ATS ข้อสอบ CU-ATS คะแนนรวม 1,600 คะแนน ประกอบด้วย 2 วิชา […]
Comments (0)
-
Blog, SAT
BBA คืออะไร? อยากสอบติดต้องทำอย่างไรบ้าง?
สวัสดีครับน้องๆ ทุกคน วันนี้พี่แอดมินกลับมาอีกแล้วกลับบทความดีๆ สำหรับชาวอินเตอร์โดยเฉพาะ…พี่เชื่อว่าเด็กสายศิลป์หลายๆ คนคงกำลังมองหาข้อมูล “คณะ BBA” อยู่แน่นอน !!! วันนี้ ignite ขอแชร์ข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับคณะ BBA ในมหาวิทยาลัยไทยให้พวกเราทุกคนได้ศึกษารายละเอียดที่ถูกต้องกันนะครับ BBA คืออะไร? เรียนอะไร? BBA คือ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (Bachelor of Business Administration) ซึ่งเป็นคณะยอดฮิตของเด็กมัธยมที่ต้องการสอบเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี โดยมีมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย เปิดสอนหลักสูตรนี้ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยเน้นการเรียนการสอนเกี่ยวกับ การบริหาร การบัญชี การเงินและการตลาด โดยวิชาที่เปิดสอนจะขึ้นอยู่กับหลักสูตรของแต่ละมหาวิทยาลัยอีกที น้องๆ อย่าลืมเช็คเพิ่มเติมนะครับ มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตร BBA ในประเทศไทย อย่างที่ทราบกันดีว่าคณะ BBA คือ […]
Comments (0)
-
Blog, CU-ATS/CU-AAT
5 เทคนิคพิชิต CU-ATS Physics 800 เต็ม By P’Ink
สวัสดีครับน้องๆ ทุกคน เปิดต้นปี 2022 มาได้ไม่นาน เชื่อว่าน้องหลายๆ คน กำลังวางแผนการเตรียมตัวสอบกัน วันนี้พี่อิ๊งค์อยากจะมาแชร์ประสบการณ์และ เทคนิคเก็บ CU-ATS Physics 800 เต็ม ถึงแม้ฟังดูแล้วเหมือนจะยาก ด้วยเวลาที่จำกัดและข้อสอบที่ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว แต่พี่เชื่อว่าถ้าน้องลองนำเทคนิคที่พี่แชร์เหล่านี้ไปปรับใช้ คว้าเต็มไม่ยากอย่างที่คิดแน่นอน ทำความรู้จักข้อสอบ CU-ATS Physics ข้อสอบ CU-ATS (Chulalongkorn University Aptitude Test for Science) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดความถนัดทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการพิจารณาผู้ยื่นเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี ของหลักสูตรนานาชาติ จุฬาฯ โดยลักษณะข้อสอบคล้ายกับข้อสอบ SAT Subject Tests แต่ความยากของเนื้อหาจะแตกต่างกันออกไป เมื่อน้องๆ สมัครสอบ CU-ATS ไปแล้วจะต้องสอบ 2 วิชานั่นคือ CU-ATS Physics CU-ATS Chemistry […]
Comments (0)
Comments