เปิดเส้นทางความฝัน “น้องแบลล์” เด็กไทยสู่คณะแพทย์ระดับโลก University of Cambridge ประเทศอังกฤษ

สัมภาษณ์ ignite Idol มาหลายครั้ง พี่แอดมินเพิ่งมีโอกาสได้สัมภาษณ์ประเด็นการเรียนต่อต่างประเทศอย่างจริงจังก็คราวนี้… และก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ได้ตัวน้องแบลล์ ปัณฑา ฉัตรดอกไม้ไพร จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน นักเรียน ignite รุ่นบุกเบิกมาพูดคุยกับเรา… หลังจากที่ได้ Perfect Score ไปทุกวิชา ตอนนี้ใครหลายคนคงเห็นแล้วว่า แบลล์สอบติด คณะแพทย์ ที่ University of Cambridge ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็น 1 ในคณะแพทย์ ที่สอบเข้ายากที่สุดในโลก… วันนี้พี่แอดมินเลยขอนำตัวแบลล์มาเปิดเส้นทางความฝัน ของเด็กไทยกับการสอบเข้าแพทย์เคมบริดจ์ ให้น้องๆ ทุกคนได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จาก ignite Idol ของเรานะครับ
ได้ยินว่าจุดเริ่มต้นของการเรียนหมอ มาจากการฝึกงานที่โรงพยาบาลตั้งแต่ยังไม่ขึ้นม.ปลาย? เรื่องมันเป็นมาอย่างไรครับ
เรื่องมันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนแบลล์อายุ 15 ปีค่ะ…ตอนนั้นเราเด็กมาก ก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเรียนต่อคณะไหน ซึ่งความจริงแบลล์ไม่ชอบเรียนพวกวิชาภาษาสักเท่าไร ไม่ชอบทั้งวิชาภาษาอังกฤษและวิชาภาษาไทยเลยค่ะ แต่จะชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์และวิชาฟิสิกส์มากค่ะ ทำให้เราเลือกเรียนต่อ ม.ปลาย สายวิทย์ศาสตร์-คณิตศาสตร์ ซึ่งถ้าไม่คิดอะไรก็คงเรียนต่อวิศวะ แต่พอโตขึ้น เราได้เจออะไรเยอะขึ้น เจอเพื่อนที่มีความคิดเห็นหลากหลาย ความลังเลถึงอนาคตการเรียนของเรา…ก็เริ่มเข้ามาตอนนั้นแหละค่ะ แบลล์ไม่อยากทิ้งให้ความฝันตัวเองเคว้งอยู่ในอากาศ ผ่านไปเรื่อยๆ…จึงไปปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ ท่านพูดกับเราว่า “ถ้าอยากรู้ ก็ต้องลอง…อยากโตไปเป็นอะไร ก็ต้องรู้ก่อนว่าจริงๆแล้วแต่ละอาชีพเขาทำงานกันอย่างไร”
ใช่ค่ะ! ท่านให้แบลล์ลองไปฝึกงานตั้งแต่อายุ 15 ปี แบลล์เลยมีโอกาสได้สัมผัสสถานการณ์จริงในสถานที่จริง ตั้งแต่เด็ก ตอนนั้น เราได้ฝึกงาน 2 สายทั้งวิศวะและแพทย์… แรกๆ เข้าไปช่วยงานด้านวิศวะในโรงงานคุณพ่อของเพื่อน ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา ไม่อินค่ะ… หลังจากนั้นคุณพ่อเลยแนะนำให้ไปฝึกงานที่โรงพยาบาลดูค่ะ เราไปถึงเชียงรายเลยค่ะเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ไกลจากตัวเมืองมากพอสมควร ต้องไปอยู่คนเดียวที่นั่นหลายเดือนเลย ตอนนั้นไม่รู้อะไรทำให้พ่อแม่กล้าให้เราไป แล้วแบลล์ก็กล้าตัดสินใจไปอยู่ไกลบ้าน คนเดียวแบบนั้นเหมือนกันนะคะ (หัวเราะ)
แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นมันคุ้มค่ามากจริงๆ นะคะ ถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นของการอยากเป็นหมอมาจากไหน ตอบเลยค่ะ! ว่ามาจากตอนไปฝึกงานที่จังหวัดเชียงราย ด้วยความที่โรงพยาบาลขาดแคลนบุคลากร เราจึงได้มีโอกาสลงมือทำงานมากพอสมควรค่ะ นอกจากความรู้ด้านการแพทย์… สิ่งที่แบลล์ได้รับกลับมาคือแรงบันดาลใจในการช่วยเหลือโรงพยาบาลแห่งนี้… มันฝังอยู่ในใจมาตลอดว่า “เราต้องช่วยเหลือพวกเขาได้สิ! ถ้าเรียนแพทย์จบมา เราต้องสามารถเอาความรู้กลับมาพัฒนาให้โรงพยาบาลนี้ดีขึ้นได้แน่ๆ” ตอนนั้นแบลล์เลยตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าจะเรียนแพทย์ แล้วจะกลับมาสร้างประโยชน์ พัฒนาให้วงการสาธารณสุขไทยดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ให้ได้ค่ะ
ทำไมเลือกไปเรียนต่อต่างประเทศล่ะครับ…ในเมื่อเราบอกว่าไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ
ทำไมถึงอยากเรียนต่อต่างประเทศเหรอคะ?
เรื่องนี้ก็มีจุดเริ่มต้นจากการได้ไปเรียนรู้ประสบการณ์จริงอีกเช่นเดียวกันค่ะ
ช่วงมัธยมปลาย แบลล์ได้มีโอกาสแข่งโต้วาทีระดับประเทศ เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งที่มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) สหรัฐอเมริกาค่ะ.. ตอนนั้นเราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นนานพอสมควร ได้เรียนรู้สังคมการเป็นอยู่ การเรียนการสอนของเขาแล้วเรารู้สึกอินมากเลย คือชอบมากค่ะ… อยากไปเรียนในสังคมแบบนั้น พอแข่งเสร็จกลับมาก็ตั้งเป้าหมายชัดเจนเลยว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศแน่นอนค่ะ… ฟังแล้วดูเหมือนเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบใช่ไหมคะ (หัวเราะ) แต่บอกเลยว่าจุดเริ่มต้นของการโต้วาทีเกิดจากจุดอ่อนของเรา และเป็นประสบการณ์ที่หินมากเรื่องหนึ่งในชีวิตแบลล์ก็ว่าได้ค่ะ

ตอนนั้นแบลล์ ขึ้นมัธยมปลาย ย้ายมาเรียนห้อง EP. ที่โรงเรียนสาธิตปทุมวัน ซึ่งการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ แรกๆ เราฟังอาจารย์สอนไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ท้อมากจนต้องไปปรึกษาอาจารย์ เขาก็แนะนำให้ลองมาโต้วาที จะได้พัฒนาทักษะหลายๆ ด้าน จะได้เรียนตามเพื่อนทันทำนองนั้นค่ะ คือเราก็ลองไปนั่งฟังเพื่อนๆ พี่ๆ โต้วาทีกันจริงๆ ก่อนนะคะ… บอกเลยงงมาก! ฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ใจก็คิดว่าเราคงไม่ไหวกับการโต้วาทีภาษาอังกฤษแบบนี้หรอก…
แบลล์เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ฟัง เขาสวนกลับมาเลยค่ะว่า “กลัวอะไร? ถ้าไม่เริ่มวันนี้จะมีวันต่อไปได้ไหม ทุกอย่างมันต้องมีวันแรกอยู่แล้ว ถ้าไม่ลอง…ชีวิตนี้คงไม่ได้ทำอะไรเลย” แบลล์เลยฮึดสู้กับมันและเริ่มฝึกฝนจนมีโอกาสได้ไปแข่งโต้วาทีเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้รางวัลระดับประเทศกลับมาค่ะ ช่วงนั้นแข่งหลายหัวข้อมากนะคะ แต่หัวข้อที่แบลล์จำได้ว่าโหดมาก คือการโต้วาทีที่ตัวเองต้องเป็นฝ่ายสนับสนุนให้ประเทศเกาหลีเหนือสร้างอาวุธนิวเคลียร์ค่ะ ถือเป็นเรื่องระดับ World wide และไกลตัวมากๆเลย …ถ้ามองย้อนกลับไป เราก็อยากขอบคุณที่ตัวเองกล้าและพยายามมากพอ เพราะการโต้วาทีนอกจากช่วยให้เราใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ยังทำให้เรามีความรู้รอบตัวมากขึ้นด้วยนะคะ
น้องแบลล์เริ่มเตรียมตัวอย่างไร? สำหรับการสอบเข้า คณะแพทย์อินเตอร์

การเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ เริ่มหลังกลับมาจากแข่งโต้วาทีที่อเมริกาทันทีค่ะ ตอนนั้นกลับมาก็ เรียนพิเศษที่ ignite เลยค่ะ… แบบสมัครเรียนที่เดียวทุกคอร์ส เพราะเรารู้สึกว่ามีสถาบันที่สอนวิชาสำหรับใช้ต่อต่างประเทศไม่กี่ที่และจากคำแนะนำของเพื่อนๆ แบลล์ก็คิดว่ามีแค่ ignite นี่แหละที่น่าเชื่อถือและจะช่วยเราได้จริงๆค่ะ แบลล์เริ่มเรียน IELTS และ SAT ก่อนค่ะ… เริ่มเรียนไวมาก เรียกว่าเป็นเด็ก ignite รุ่นแรกยุคบุกเบิกเลยก็ว่าได้ค่ะ ต้องบอกก่อนว่าแบลล์ไม่ชอบเรียนแบบหักโหมหรือเรียนอัดๆ หลายวิชาก่อนสอบค่ะ เราเลยเริ่มเรียนไว เรียนไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ ม.4 จากนั้นจึงเริ่มสอบเก็บคะแนน IELTS และคะแนน SAT จนครบทุกวิชาตอน ม.5 ค่ะ
แต่ตอนจะ ม.6 เรายังไม่คิดจะสอบ BMAT เลยนะคะอาจเพราะมีกิจกรรมหลายอย่าง สอบหลายตัวด้วย แบลล์เลยหลุดโฟกัสพอสมควรค่ะ… ซึ่งตอนนั้นก็มีพี่จาก ignite นี่แหละติดต่อมา แนะนำการ สอบหมอด้วย BMAT ให้ข้อมูลดีมาก ชี้แจงว่าการเตรียมตัว BMAT จะเพิ่มโอกาสให้เราไปได้อีกไกลค่ะ หลังวางสายจากพี่ ignite เราเลยตัดสินใจสมัครสอบ BMAT คืนนั้นทันทีเลยค่ะ (หัวเราะ) คือเป็นความโชคดีของแบลล์มากเลยค่ะที่พี่จาก ignite ติดต่อมาเพราะถ้าไม่มีวันนั้น แบลล์ก็คงไม่ได้ชื่อว่าสอบติดแพทย์เคมบริคจ์ในวันนี้แน่นอนค่ะ
เทคนิคการทำข้อสอบให้ได้ Perfect Score จากน้องแบลล์ แพทย์เคมบริดจ์

เห็นว่าแบลล์ได้คะแนนดีทุกวิชาเลย แนะนำเทคนิคการทำข้อสอบให้น้องๆ ฟังหน่อยครับ
แบลล์เชื่อว่าข้อสอบแต่ละวิชามีแนวทางเป็นของตัวเอง ข้อสอบแต่ละวิชาจะใช้วัดความรู้ ทักษะของผู้สอบที่แตกต่างกันออกไปค่ะ ถ้าน้องสามารถจับแนวข้อสอบให้ได้จะเจอแนวทางเพิ่มคะแนนได้แน่นอนค่ะ…
- IELTS พี่ขอแนะนำว่าให้น้องๆ “อ่านหนังสือแบบเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ” อย่าพยายามทำข้อสอบเก่าให้ได้จำนวนเยอะๆ เพียงอย่างเดียว แต่ทุกครั้งที่ฝึกฝนต้องใส่ใจกับทุกพาร์ท ทุกข้อ… ดูว่าเราทำตรงไหนไม่ทัน ดูว่าเราทำส่วนไหนผิดบ่อย แล้วถ้าทำผิดอย่าก็แค่กลับไปทำใหม่เท่านั้นนะ น้องต้องนำข้อผิดพลาดมาแก้ไขจนเข้าใจว่าเราทำผิดเพราะอะไรนะคะ
- SAT Subject Tests อยากให้น้องๆ อ่านหนังสือแบบเน้นปริมาณ อ่านซ้ำๆ อ่านทุกบทจนมั่นใจว่าเราจะทำได้จริงๆทุกข้อ…ฝึกทำโจทย์เยอะๆ เลยค่ะ เอาข้อสอบเก่ากลับมาทำเรื่อยๆ ได้เลยนะคะ ทริคและเทคนิคทุกอย่างจะได้จากการทำข้อสอบเก่านี่แหละค่ะ และทุกครั้งที่ทำโจทย์ต้องเตือนตัวเองให้จับเวลาเสมือนจริงเสมอนะคะ เพราะถ้าวันสอบจริงถ้าทำไม่ทัน ทุกอย่างที่อ่านมาก็คงน่าเสียดายมากเลย
- BMAT สำหรับข้อสอบ BMAT พี่คิดว่าเป็นข้อสอบที่ไม่มีเทคนิคในการเพิ่มคะแนนเหมือนข้อสอบอื่นๆ เท่าไรค่ะ เราต้องฝึกฝนจนมั่นใจจริงๆ ว่าเราพร้อมแล้วสำหรับการสอบ BMAT ครั้งนั้น… ถ้าแนะนำพี่อยากให้พวกเรา โฟกัสกับ Part Writing มากๆ นะคะ ฝึกเขียนและดูว่าเราทำอะไรพลาดบ้าง… อย่างพี่ฝึกเขียนอยู่หลายครั้งเลยค่ะ เขียนแล้วก็ส่งให้ ignite ตรวจ…แล้ว Feedback กลับมา จึงทราบว่าเราทำอะไรผิด จุดอ่อนอะไรที่ทำให้เราพลาดคะแนน เพื่อจะกลับมาแก้ไขได้ตรงจุดค่ะ ส่วนสำคัญอีกอย่างของการสอบ BMAT คือ น้องห้ามประหม่าในห้องสอบเด็ดขาดนะคะ แค่น้องไม่ลนคะแนนก็สามารถพุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดค่ะ
“สิ่งสำคัญที่สุดของการทำข้อสอบทุกวิชา คือการไม่ลนและไม่ประหม่าในห้องสอบ”
ไม่ว่าก่อนหน้านี้เราจะเตรียมตัวมาไม่พร้อมอย่างไร เราต้องทิ้งทุกอย่างไว้หน้าห้องสอบให้หมด อย่าเอาความเครียดเข้าห้องเด็ดขาด… เพราะ “ณ เวลานี้ วินาทีนั้น เราไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว” เราแค่ต้องทำตอนนี้ให้ดีที่สุด เต็มที่กับมัน ผลจะออกมาเป็นอย่างไรเราก็ยอมรับมันได้ เพราะว่าจะเรียนที่ไหนชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเราเอง… ก่อนเข้าห้องสอบแบลล์คิดอย่างนี้เสมอค่ะ มันช่วยลดความกดดันและทำให้เราไม่ลนในห้องสอบได้มากจริงๆ นะคะ
ประสบการณ์การสอบเข้าแพทย์เคมบริดจ์จากน้องแบลล์

การสอบเข้าแพทย์เคมบริดจ์ ใช้คะแนนอะไรบ้างครับ แล้วมีอะไรที่รู้สึกว่ายากสำหรับเราไหม?
สำหรับการสอบเข้าแพทย์เคมบริดจ์ จะต้องใช้คะแนน BMAT, IELTS และ A-Level ค่ะ ซึ่งถ้าถามว่าอะไรยากที่สุดในการสอบเข้าเคมบริดจ์… แบลล์มองว่าการหา Requirement ว่าต้องใช้คะแนนอะไร มีเกณฑ์เท่าไรบ้าง เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดเพราะเราต้องหาข้อมูลเองทั้งหมดเลยค่ะ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าข้อมูลที่เราหาเองจะถูกต้องจริงๆ หรือไม่ แบลล์เลยพยายามไปงาน Expo การเรียนต่อต่างประเทศบ่อยๆ ค่ะเพื่อจะได้แหล่งข้อมูลและเว็บไซต์ต่างๆ ให้เราสามารถเข้าไปค้นคว้าต่อได้ค่ะ
แพทย์เคมบริดจ์ ไม่ได้ระบุว่าต้องยื่น Portfolio เหมือนแพทย์ไทยนะคะ แต่แบลล์ก็แนบผลงานหนึ่งชิ้นไปให้เขาพิจารณาอยู่เหมือนกันค่ะ ผลงานที่ยื่นไปคือโปรแกรมที่สร้างขึ้นร่วมกับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และโรงพยาบาลรามาธิบดีค่ะ มันเป็นโปรแกรมที่ใช้คำนวณอัตราการเกิดมะเร็งจากชิ้นเนื้อของคนไข้ที่นำมาตรวจ แบลล์เขียนโปรแกรมนี้ขึ้นมาเพราะคุณย่าป่วยมานานแล้ว เลยอยากทราบว่าคุณย่าจะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากน้อยแค่ไหนค่ะ
การสอบรอบสัมภาษณ์ของแพทย์เคมบริจด์เป็นอย่างไรบ้างครับ เล่าให้น้องๆหน่อย
การสัมภาษณ์เพื่อสอบเข้าแพทย์เคมบริดจ์ ต้องบินไปสัมภาษณ์ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพราะเป็นศูนย์สอบของเอเชียค่ะ โดยใช้เวลาสัมภาษณ์ประมาณ 40 นาที – 1 ชั่วโมง แล้วแต่คนนะคะ…เราได้สัมภาษณ์กับอาจารย์หมอของเคมบริดจ์เลย แบลล์คิดว่าช่วงเวลาสำคัญที่มีผลว่าเราจะได้เรียนแพทย์เคมบริจน์หรือไม่ น่าจะเป็นการ Interview นี่แหละค่ะ…เพราะกรรมการใช้คำถามยากมาก ดูรู้เลยว่าเขาต้องการวัดทักษะของคนที่มาสัมภาษณ์จริงๆ คำถามส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลยค่ะ แบบว่าถ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อน ก็ไม่สามารถเดาหรือตอบมั่วๆ ได้เลยนะคะ แต่โชคดีที่เราเตรียมพร้อมและอ่านหนังสือมามากพอ เลยสามารถตอบกรรมการได้… นอกจากนี้ยังมีคำถามในลักษณะที่เหมือนกับข้อสอบ BMAT ใน Part Attitude ด้วยนะคะ ซึ่งในห้องสัมภาษณ์นอกจากสอบถามคำถามเชิงวิชาการและพูดคุยเรื่องทั่วไป กรรมการจะลองสอนความรู้ทางแพทย์ ณ ตอนนั้นเลยนะคะ เพื่อดูว่าเราเข้าใจกับสิ่งที่เขาสอนได้ไวแค่ไหนค่ะ
แบลล์ได้ไปสัมภาษณ์แพทย์ในประเทศไทยไหมครับ แตกต่างกับการสัมภาษณ์แพทย์เคมบริจด์หรือเปล่า
แบลล์ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ที่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค่ะ…ขอบอกว่าแตกต่างกันสิ้นเชิงเลยค่ะ บรรยากาศในห้องสัมภาษณ์ของแพทย์เคมบริจน์จะเป็นกันเองมากกว่า แต่สำหรับแพทย์ไทยคำถามเชิงวิชาการที่ใช้ถามจะง่ายกว่าแพทย์เคมบริจน์ค่ะ แต่สิ่งที่ยากในการสัมภาษณ์แพทย์ไทยน่าจะเป็นการจำลองสถานการณ์ต่างๆ อาจารย์จะมีท่าทีที่ดุดันกว่า ตลอดการพูดคุยก็ดูกดดันเรา… ต่างจากแพทย์เคมบริจน์ที่กรรมการสัมภาษณ์จะเฟรนลี่มากกว่า ตอนพูดคุยเหมือนเขาอยากชวนเราเข้าไปเรียนมากๆ เลยค่ะ (หัวเราะ) แต่แบลล์ก็เข้าใจนะคะว่าทั้งสองที่คงวัดทักษะคนละด้าน ซึ่งเราก็ควรจะรับมือกับอุปสรรคทุกๆ ด้านได้เช่นเดียวกันค่ะ

เรียนจบเราจะกลับมาทำงานที่ไทยเลยไหม… แบลล์มองอนาคตตัวเองไว้แบบไหนครับ
แบลล์เรียนจบจะกลับมาทำงานที่ประเทศไทยแน่นอนค่ะ แต่อาจไม่ได้เป็นหมอคลินิคนะคะ เพราะอยากกลับมาเป็นอาจารย์มากกว่า เนื่องจากการเรียนการสอนของเคมบริดจ์จะเน้นการวิจัย สอนให้นำความรู้ที่เรียนมาไปต่อยอดมากกว่าค่ะ แบลล์ตั้งใจจะนำความรู้มาเพิ่มโอกาสทางการแพทย์ให้ประเทศไทยค่ะ… เวลามีโครงการ วิทยาการหรือ Research ที่น่าสนใจ เราจะเป็นประเทศท้ายๆที่ได้สัมผัสกับสิ่งนั้น แบลล์อยากให้ไทยได้รับโอกาสดีๆ เราเลยมุ่งมั่นว่าจะนำความรู้ที่เรียนมา สร้างนวัตกรรมยกระดับให้สาธารณสุขไทยเทียบเท่าประเทศอื่นให้ได้ค่ะ
จากที่เล่ามาแบลล์เรียนพิเศษเยอะมากเลย พี่อยากรู้ว่ามันแย่งเวลาส่วนตัวเราไปบ้างหรือเปล่า
แบลล์ถือว่าเป็นคนที่เรียนพิเศษมาตลอดค่ะ เริ่มเรียนตั้งแต่เด็กๆ เลยนะคะ แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันหนักเกินไปหรือเข้ามาแย่งเวลาชีวิตวัยรุ่นเราไปเลย มิหนำซ้ำมันยังเป็นตัวช่วยที่ทำให้เราประหยัดเวลา ได้มีโอกาสไปทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกเยอะเลย เพราะเวลาเราอ่านเอง…หนังสือมันเยอะมาก ข้อมูลมันล้นไปหมด ถ้าต้องมานั่งอ่านทั้งหมดแล้วสรุปบทสำคัญ ไฮไลท์สิ่งที่จะออกสอบเอาเอง แบลล์ว่าใช้เวลาหลายเดือนแน่ๆ ค่ะ แต่ถ้าเราเรียนพิเศษแบบคอร์สที่กระชับมาให้แล้ว จี้จุดมาให้ว่าบทไหนออกเยอะออกน้อย บางคอร์สแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็เรียนจบแล้ว เวลาที่เหลือก็ไปอ่านเตรียมตัวให้ตรงจุดและก็สามารถไปทำอย่างอื่นได้อีก ไม่ต้องมาหมกกับหนังสือทั้งวันทั้งคืนเหมือนกับการเตรียมตัวสอบเอง แล้วอย่างที่บอกไปว่าแบลล์ไม่ค่อยชอบวิชาภาษาอังกฤษ แต่ที่สอบ IELTS ได้ Band 8 – 8.5 ก็มาจากที่เรียนพิเศษด้วยค่ะ เพราะเราจะได้รับแรงกระตุ้นจากคุณครูในคอร์สและแรงสนับสนุนจากเพื่อนๆ ในคลาสจะส่งเสริมให้เราแอคทีฟมากกว่าการนั่งอ่านหนังสืออยู่ตัวคนเดียว

แบลล์ชอบทำกิจกรรมเหรอครับ? แล้วเราแบ่งเวลาอย่างไรให้ไม่กระทบการเรียน
จริงๆแล้วเพื่อนในโรงเรียนไม่ได้มองว่าเราเป็นเด็กเรียนอะไรขนาดนั้นนะคะ คนจะรู้จักแบลล์ในฐานะเด็กกิจกรรมกับนักกีฬามากกว่าค่ะ เพราะเราทำกิจกรรมหลายอย่างทั้งนักโต้วาทีภาษาอังกฤษ เป็นกรรมการนักเรียน ดรัมเมเยอร์ เชียร์ลีดเดอร์ แล้วก็เป็นกัปตันทีมแฮนบอล เป็นนักวิ่ง เล่นบัลเล่และสปอตแดนซ์ด้วยค่ะ
การแบ่งเวลาไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แค่เวลาเรียนเราก็เรียนจริงจังเลยค่ะ ไม่เอากิจกรรมอื่นมาทำในเวลาเรียน ถ้ามีการบ้านอะไรก็ไม่เคยสะสมไว้ พักกลางวันจะนั่งทำการบ้านเลยค่ะ… อีกอย่างคือการทำกิจกรรมต่างๆ หรือการเล่นกีฬามันเป็นสิ่งที่แบลล์ชอบอยู่แล้ว เวลาทำอะไรที่ชอบเราก็จะอยากหาเวลามาอยู่กับมันใช่ไหมคะ? เราเลยพยายามจัดการอย่างอื่นให้เสร็จเพื่อจะได้มีเวลาไปทำสิ่งที่ชอบค่ะ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าเราก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันออกมาดีซะทุกอย่างนะคะ ไม่เคยคิดว่าจะต้องเล่นกีฬาให้ได้รางวัลหรือต้องแข่งขันกิจกรรมให้ได้เกียรติบัตรไปซะทุกงาน แต่ที่ทำก็เพราะชอบอยู่กับสิ่งๆ นั้น พอชอบอะไร… เราก็จะตั้งใจกับมัน ผลลัพธ์เลยออกมาดีมากกว่าค่ะ

แบลล์เคยรู้สึกท้อบ้างไหม…แล้วเราจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไรครับ
หลายครั้งที่หลุดโฟกัสทำให้พลาดโอกาสหลายอย่างไป หรือบางครั้งที่ก็รู้สึกเหนื่อยกับการเตรียมตัวสอบหลายๆ วิชาเหมือนกันนะคะ แต่เราก็ยอมแพ้กับมันไม่ได้ใช่ไหมคะ? เทคนิคของแบลล์เวลาเริ่มเบื่อการอ่านหนังสือคือ “เราจะตั้งเป้าหมายในการอ่านหนังสือเอาไว้เลย..ถ้าทำสำเร็จจะให้รางวัลตัวเอง” เช่น ถ้าวันนี้ทำโจทย์ครบ 100 ข้อ เราจะไปเลี้ยงหมูกะทะตัวเอง…เรื่องนี้ทำจริงๆนะคะ! ไม่ได้ทำขำๆ (หัวเราะ) คือถ้าเราทำไม่เสร็จ ก็ไม่กินหมูกะทะจนกว่าจะทำตามที่ตั้ง Goal ไว้จริงๆ ค่ะ เพราะเป้าหมายจะได้มีคุณค่าและคุ้มค่ากับความเหนื่อยที่พยายาม แต่ช่วงใกล้วันสอบเข้ามามากๆ แบลล์จะเริ่มนั่งสมาธิแล้วค่ะ เอาธรรมะเข้าสู้ (หัวเราะ) ยุบหนอ..พองหนอค่ะ…เราเป็นคนที่ยิ่งใกล้วันสอบ จะยิ่งไม่อ่านหนังสือเยอะนะคะ เพราะไม่อยากรู้สึกล้าก่อนสอบ อยากให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายก่อนเข้าห้องสอบมากที่สุดค่ะ
ในฐานะที่เป็นนักเรียนรุ่นบุกเบิกของเรา…อยากฝากอะไรถึง ignite บ้างไหมครับ
แบลล์ต้องขอบคุณพี่ๆ ครูของ ignite ทุกคนเลยนะคะ ทั้งพี่กั๊ก พี่เกรท พี่ก๊อฟ พี่ภัทร์ แบลล์เรียนพิเศษกับที่นี่มานานมาก ได้มีโอกาสเรียนกับคุณครูเกือบทุกคนเลย…ชอบทุกคนมากค่ะ แต่ละท่านก็มีสไตล์การสอนเป็นของตัวเอง มีมุกตลกๆ และมีเทคนิคเฉพาะตัวที่แบลล์สามารถนำไปใช้สอบได้ทุกวิชาเลยค่ะ แต่ “ถ้าพี่กั๊กได้อ่าน…แบลล์อยากขอบคุณพี่กั๊กมากนะคะ ไม่รู้ว่าพี่จะจำหนูได้หรือเปล่า แต่รู้ไหม..เป็นความโชคดีของหนูมากที่ได้เรียน IELTS กับพี่กั๊กค่ะ” …ด้วยความที่เราไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษ เราเลยรู้สึกไม่มั่นใจและกังวลกับการสอบ IELTS มาตลอดแต่พอได้รู้จักกับพี่กั๊ก แบลล์รู้สึกไม่กลัวเวลาทำข้อสอบเลยค่ะ เพราะเขาทำให้เราอุ่นใจ เราจะรู้สึกว่าถ้าทำอะไรพลาดไป พี่กั๊กก็จะอยู่ตรงนี้ คอยช่วยเหลือเราได้เสมอค่ะ
แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดสำหรับ ignite คือ พี่ๆ Partner เลยค่ะ อยากขอบคุณพี่ๆ ทุกคนมากๆนะคะ พี่เขาทุ่มเทให้คำปรึกษาดีมาก มีปัญหาอะไรสามารถสอบถามได้ตลอด…เวลาเรามาขอคำปรึกษาเพียง 1 อย่าง แต่พี่เขาช่วยแนะนำทางออกมาให้ถึง 10 อย่าง มันเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยนะคะ…อย่างที่บอกเราไม่เคยคิดจะสอบ BMAT แต่มีวันหนึ่งพี่จาก ignite โทรมาบอกให้แบลล์ลองสมัครสอบ BMAT ดูสิ..คิดดูนะคะ ถ้าไม่มีสายโทรศัพท์จาก ignite ในวันนั้น…ตอนนี้แบลล์คงไม่ได้มานั่งให้สัมภาษณ์ในฐานะเด็กไทยที่สอบติดแพทย์เคมบริจด์แน่นอนค่ะ

สุดท้ายแล้วแบลล์อยากฝากอะไรถึงน้องๆ ที่กำลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้อยู่ไหมครับ
น้องๆ จำไว้เสมอนะคะว่า การเริ่มต้นเร็วเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เต็มที่กับช่วงเวลา ม.ปลาย ที่เรามีเพียงไม่กี่ปีให้ถึงที่สุด…อย่าปิดกั้นโอกาสในการทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง ค้นหาสิ่งที่จะทำให้ตัวตนของน้องโดดเด่นขึ้นมา ออกไปหาประสบการณ์ใหม่ๆตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ
มองให้เห็นบันไดที่จะนำเรามุ่งสู่ความฝัน
และก้าวข้ามบันไดนั้นไปให้ถึงความฝันของเราให้สำเร็จนะคะ
แต่ถึงอย่างไร… ไม่อยากให้ทุกคนทิ้งการเรียนนะคะ เพราะการเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกๆ เรื่อง ถ้าเราตั้งใจเรียน มีความรู้ที่มากพอ ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไร เราจะกลายเป็นคนมีประโยชน์นะคะ เพราะเราจะสามารถนำความรู้ที่มีมาช่วยเหลือส่วนรวมและแก้ไขปัญหางานหรือกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

เป็นอย่างไรบ้างครับกับเส้นทางความฝันของน้องแบลล์ เด็กไทยที่สอบติดแพทย์ เคมบริจด์…พี่แอดมินเชื่อว่าทุกคนๆที่อ่านมาถึงตรงนี้ สามารถเดินตามความฝันได้สำเร็จเหมือนพี่แบลล์แน่นอนครับ
สำหรับน้องๆ คนไหนที่อยากได้คะแนน BMAT, SAT, IELTS แบบ Perfect Score! เหมือนพี่แบลล์…อย่าลืมมาเจอกันที่ ignite by Ondemand ทั้งคอร์สสด,Mini Class, One on One และ คอร์สเรียนออนไลน์ ในระบบ Learn Anywhere พี่ๆ เตรียมทั้งความรู้และกิจกรรมสนุกๆ ให้ทุกคนมั่นใจว่าจะสอบติดคณะในฝันชัวร์ๆ…แล้วรู้ยัง? ตอนนี้ ShopOnline เปิดแล้ว!
น้องๆ สามารถซื้อคอร์สเรียนออนไลน์ ด้วยตัวเองได้ง่ายๆ ผ่าน ShopOnline ของ ignite …พร้อมแล้วลุยเลย >> https://shop.ignitebyondemand.com/
ดูรายละเอียดคอร์สเรียน BMAT, SAT, SAT Subject Tests, IELTS ทั้งหมดได้ทาง >> https://www.ignitebyondemand.com/our-courses/
สามารถปรึกษาสอบถามรายละเอียดการเรียนต่อในคณะแพทย์ รอบ 1 (Portfolio) หรือทุกคณะอินเตอร์ยอดฮิต ได้ทาง Line : @ignitebyondemand หรือโทร 02-6580023 , 091-5761475
Related Blog & News
ข่าวสารและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
-
Blog, Medical TCAS 1 (Portfolio)
5 เหตุผลสุดปัง! ทำไมสอบแพทย์รอบ 1 (Portfolio) ถึงได้เปรียบกว่า
วันนี้พี่แอดมินพาพี่ๆ ignite idol คนเก่งมาพูดถึง 5 เหตุผลสุดปัง! ในการเตรียมตัวสอบเข้าคณะแพทย์ รอบ 1 ว่าทำไมการเตรียมตัวใน รอบ Portfolio ถึงได้เปรียบกว่า พร้อมเทคนิคพิเศษกันแบบจัดเต็ม! ถ้าพูดถึงคณะแพทยศาสตร์ นั้นเป็นคณะที่ต้องใช้เวลาในการเตรียมค่อนข้างสูง ทั้งรูปแบบการทำข้อสอบและการทำพอร์ตฟอลิโอและเป็นไปได้ว่าหลายคนอาจจะเลือกการสอบรอบที่ตัวเองเตรียมตัวมาพร้อมมากที่สุดก่อน แต่รู้หรือไม่ว่า…ถ้าน้องๆ สามารถเตรียมตัวให้พร้อมทันสอบตั้งแต่ TCAS รอบ 1 (Portfolio) ได้นั้นจะเพิ่มโอกาสในการติดพิชิตคณะแพทยศาสตร์ในฝันนั้น..ไม่ไกลเกินเอื้อมของทุกคนแน่นอน พี่ๆ เลยมีตัวอย่างจากรุ่นพี่ ignite ที่ติดคณะแพทยศาสตร์ ด้วยการสอบใน TCAS รอบ 1 (Portfolio) มาดูกันว่า..ทำไมทุกคนถึงเลือกสอบเข้าคณะแพทย์ตั้งแต่ TCAS รอบที่ 1 หรือ แพทย์รอบพอร์ตฟอลิโอ ที่น้องๆ หลายคนเรียก และพี่ๆ มีเทคนิคอะไรในการเตรียมตัวให้ทันเพื่อสอบเข้าคณะสุดหินที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ได้ตั้งแต่รอบพอร์ตฟอลิโอ […]
Comments (0)
-
Blog, IELTS
รีวิวการสอบ IELTS แบบ Computer-delivered โดยน้องนโม เจ้าของคะแนน IELTS 8.0
หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่น้องๆ ถามกันเข้ามาเยอะที่สุดคือ การสอบ IELTS แบบคอมพิวเตอร์ เป็นอย่างไร และการสอบแบบคอมหรือแบบกระดาษดีกว่ากัน วันนี้พี่เลยขอพาหนุ่มหล่อคนเก่งที่เพิ่งคว้าคะแนน IELTS 8.0 จากการสอบ Computer-delivered IELTS อย่างน้องนโม ภาคภพ เลขวัต จากโรงเรียนสาธิตมศว. ปทุมวัน มารีวิวการสอบ IELTS แบบคอมพิวเตอร์กันว่าในห้องสอบ น้องๆ จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ไปลุยกันเลย! วิธีสมัครสอบ IELTS ไม่ว่าจะเป็นการสอบ IELTS แบบคอมพิวเตอร์ หรือ แบบกระดาษ น้องๆ สามารถสมัครสอบออนไลน์ ได้ผ่านเว็บไซต์ทางการของศูนย์สอบ โดยกดเลือกรูปแบบการสอบและสถานที่สอบได้เอง จากนั้นก็ทำการชำระค่าธรรมเนียมการสอบที่ปัจจุบันก็มีหลากหลายช่องทั้งการชำระผ่านบัตรเครดิตหรือการโอนเงิน แต่สิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับน้องๆ ที่ต้องการสมัครสอบและยังอายุไม่ถึง 18 ปี จะต้องทำการปรินท์ใบ Consent form หรือเอกสารยินยอม ให้ผู้ปกครองเซ็นรับรอง และนำมายื่นในวันสอบจริงพร้อมกับหลักฐานการสอบอื่นๆ ที่จำเป็นอย่างบัตรประจำตัวประชาชน ทั้งนี้ ขอแนะนำว่าน้องๆ ควรไปถึงสถานที่สอบก่อนเวลาอย่างน้อย 30 นาทีเพื่อถ่ายรูป, ลงทะเบียน, สแกนนิ้ว […]
Comments (0)
-
Blog, SAT Subject Tests
สรุปทางเลือกเมื่อ SAT Subject Tests ยกเลิก วิชาไหนบ้างที่ยื่นแทนได้?
เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเลยทีเดียวสำหรับน้องๆ มัธยมที่อยากเข้าคณะอินเตอร์ เมื่อ College board ประกาศว่าต่อไปจะไม่มี Sat Subject test อีกแล้ว น้องๆ หลายคนที่วางแผนไว้ว่าจะสอบในอนาคตตอนนี้คงมีคำถามในใจกันเต็มไปหมด ว่า อ้าว แล้วคณะที่เราอยากเข้าจะทำยังไงละ มันจะส่งผลอะไรยังไงกับเราแค่ไหน ignite ก็เลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะเสนอแนวทางในการหาวิชาสอบทดแทนสำหรับน้องๆ ที่ยังมุ่งมั่นว่าจะเข้าคณะอินเตอร์ หรือ หมอในไทย โดยต้องบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ น้องๆ อินเตอร์อาจจะได้เปรียบกว่านิดหน่อย เพราะหลายคณะยังคงรับการยื่นคะแนน IB, A-Level ที่น้องๆ โรงเรียนนานาชาติต้องสอบกันในโรงเรียนอยู่แล้ว แต่น้องๆ ภาคไทยอย่าเพิ่งน้อยใจกันไป เพราะบางคณะยังคงเปิดให้ยื่นวิชาอื่นแทนด้วย จะเป็นอะไรนั้นตามดูกันได้เลยครับ เมื่อ SAT Subject test ยกเลิก เราจะใช้วิชาไหนสอบแทนได้บ้าง มาดูกันเลย ! #ทีมเด็กไทย เริ่มกันก่อนกับคณะยอดฮิต […]
Comments (0)
-
Blog
BJM คืออะไร? เรียนอะไรบ้าง? อยากสอบติดต้องทำอย่างไร?
สวัสดีน้องๆ สายศิลป์ทุกคนนะครับ พี่แอดมินพาคณะอินเตอร์ปังๆ มาแนะนำให้พวกเราได้รู้จักกันอีกแล้ว…วันนี้มาพบกับ BJM คณะอินเตอร์ยอดฮิตที่รับรองว่าตรงใจชาวสายศิลป์หลายคนแน่นอน ไม่พูดพร่ำทำเพลง เราไปทำความรู้จักกันว่า คณะ BJM คืออะไร? ในหลักสูตรเรียนอะไรบ้างกันเลยดีกว่า BJM คืออะไร? เรียนอะไร? BJM หรือ Bachelor of Arts Program in Journalism (Mass Media Studies) คือ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน สาขาวิชาสื่อ หลักสูตรนานาชาติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น้องๆ นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า คณะวารสารอินเตอร์หรือ BJM นั้นเอง สำหรับหลักสูตรนี้จะมีความคล้ายคลึงกับคณะนิเทศศาสตร์ที่พวกเราคุ้นเคยกันอยู่พอสมควรครับ แต่ที่ BJM จะเน้นเรียนครอบคลุมมากกว่า ไม่มีการเลือกสาขา เฉพาะเจาะจงแต่น้องจะได้เรียนครบเกี่ยวกับสื่อในทุกด้าน ตั้งแต่การผลิต ออกแบบ สร้างสรรค์ ภาพยนตร์ โฆษณา ประชาสัมพันธ์หรือวิทยุและโทรทัศน์ ไปจนถึงเรียนการบริหารการสื่อสาร ซึ่งรุ่นพี่แอบกระซิบมาว่าที่นี่เน้นเรียนปฏิบัติ น้องจะได้ศึกษาทั้งการเป็นเบื้องหน้าและเบื้องหลัง รับรอบว่ามาเรียน […]
Comments (0)
Comments