ไขข้อสงสัย ความแตกต่างระหว่างหลักสูตร A-Level, IB, AP ในระบบการศึกษาแบบนานาชาติ

ในยุคที่โรงเรียนนานาชาติในไทยพากันผุดเป็นดอกเห็ด บรรดาผู้ปกครองและน้องๆ ก็อาจจะสับสนกับระบบและหลักสูตรต่างๆ ของ โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย ทำไมคนนั้นเรียน A-Level แล้ว ระบบ IB ละคืออะไร ทำไมบางโรงเรียนถึงเลือกได้ทั้งสองแบบ ในขณะที่บางโรงเรียนมีแค่ AP แล้วต้องสอบ SAT ด้วย ??
วันนี้พี่เอมี่และพี่แทนจะมาเล่าให้ฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับความต่างของแต่ระบบวิชาในโรงเรียนกันค่ะ โดยหลักสูตรที่ popular ที่สุดในประเทศไทยคงจะหนีไม่พ้นหลักสูตรอังกฤษ ตามด้วยหลักสูตรอเมริกัน และ หลักสูตร IB ตามลำดับ
ความแตกต่างระหว่างระบบการศึกษานานาชาติ
หลักสูตรอังกฤษ - หลักสูตรอเมริกัน - หลักสูตร IB

พอจะเห็นภาพความแตกต่างของระบบการศึกษาต่างๆ กันแล้วใช่ไหมคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ปกครองที่กำลังเลือกโรงเรียนให้บุตรหลาน หรือน้องๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระบบโรงเรียนนานาชาติต่างๆ ควรจะศึกษาหลักสูตรที่เหมาะกับความถนัดและความต้องการในการเรียนต่อในอนาคตมากที่สุดค่ะ
ต่อไปเราจะมาแยกอธิบายเจาะลึกลงไปในแต่หลักสูตรนะคะ ว่ามีเนื้อหา เกณฑ์การให้คะแนน จุดเด่นที่สำคัญหรือแตกต่างกันอะไรยังไงบ้าง
หลักสูตร A-Level

เราจะมาเริ่มกันที่ หลักสูตร A-Level ซึ่งต้องเรียกได้ว่าขั้นกว่าของ IGCSE (ที่นักเรียนต้องเรียนตอนอยู่ Year 10-11) โดยเนื้อหาของ A level นั้นต้องเรียนทั้งหมด 2 ปี คือ Year 12-13 หลายวิชานั้นจัดได้ว่าเข้มข้นและเนื้อหาลึกมาก อาจเทียบเท่าเนื้อหาปี 1 หรือปี 2 ของมหาวิทยาลัยในไทย เราจึงแบ่งการเรียน A-Level ให้เข้าใจง่ายๆ เป็น 2 ระดับ ได้แก่
- AS Examination(Advanced Subsidiary) โดยทั่วไปคือการเรียนในช่วง Year 12
เกรดที่จะได้ ได้แก่ a,b,c,d,e โดยน้องๆ จะต้องเลือกเรียน 4 วิชา
เกรดที่ได้ถือว่าสอบผ่านทั้งหมด แต่การสอบผ่านเพียงระดับ AS Level จะถือว่าจบแค่เพียงครึ่งเดียว หรือครึ่งเครดิตของหลักสูตร A Level เท่านั้น - A2 Examination โดยทั่วไปคือการเรียนในช่วง Year 13
ซึ่งเกรดที่จะได้นั้นมากสุดคือ A*,แล้วไล่มาที่ A,B,C,D,E ตามลำดับ โดยนักเรียนจะเลือกเรียนทั้งหมด 3-4 วิชา
เนื้อหาของ As และ A2 นั้นมีความต่อเนื่องกัน เช่นเลือกเรียนวิชา Physics ในพาร์ทของ AS นั้นเทียบได้ว่าเป็น Physics บทที่ 1-2 พอขึ้น Year 13 นั้นก็เริ่มเรียนพาร์ท 3-4 ต่อไป
ซึ่งจุดประสงค์ของการเรียน A-Level คือให้น้องๆ ที่ค้นพบตัวเองแล้วเลือกวิชาเรียนให้แคบลงให้เหมาะสมกับการยื่นคณะเข้าสู่ช่วงอุดมศึกษา เนื่องจากกว่าน้องๆ จะเรียน A-Level ได้นั้นต้องผ่านการสอบ IGCSE ที่มีวิชาบังคับ ใน Year 10-11 มาก่อน พอมาถึง A-Level ตัวหลักสูตรนี้จึงไม่มีการบังคับว่าน้องๆ จำเป็นจะต้องเลือก Math, Science หรือ English อีก ทำให้นักเรียนบางคนอาจพลาดโอกาสไปอย่างเสียดายหากขาดการแนะแนวที่ถูกต้อง หรือเลือกวิชาผิด การเลือกตามเพื่อน หรือเลือกเพราะความชอบไม่ชอบในวิชานั้นๆ
การเลือกวิชาผิดนี้อาจส่งผลถึงอนาคตการยื่นคณะเข้ามหาวิทยาลัย เช่น นักเรียนเพิ่งมารู้ตัวว่าอยากเข้าคณะวิศวกรรม ตอนอยู่ Year 13 ช่วงปลายๆ แต่ตอนต้นเทอมไม่เลือกเรียน Physics แล้วนั้น บางมหาวิทยาลัยที่เป็นตัวท็อปในภาควิชานั้นๆ อาจจะปฏิเสธการยื่นสมัครของน้องๆ เพราะขาดวิชาหลักอย่าง Physics เป็นต้น การเลือกวิชาเพื่อทำ A-Level จึงค่อนข้างสำคัญอย่างมาก เพราะ 3-4 วิชาที่เราเลือกเลือกเราต้องอยู่กับมันสองปีเต็ม เนื้อหาในแต่ละวิชาก็ค่อนข้างที่จะลึกมาก หากเลือกพลาดแล้วต้องการจะเปลี่ยนอาจจะไม่ทันเอาได้ น้องๆ จึงควรจะต้องค้นหาตัวเองให้เจอก่อนตั้งแต่ก่อนขึ้น Year 12-13 ว่าอยากเข้าคณะอะไร ทำอาชีพไหนในอนาคตกันแน่แล้วค่อยตัดสินใจค่ะ
จำนวนวิชากับการจบหลักสูตร A-Level
การเรียนจบ 3 วิชาขึ้นไปใน Year 13 นั้นจะถือว่าน้องๆ เรียนจบหลักสูตร A-level (รวมกับ IGCSE 5 วิชา ในตอน year 10-11 จะถือว่าได้วุฒิมัธยมปลาย ) แต่หากอยากเข้า Top University ในต่างประเทศ การทำได้ถึง 4 วิชานั้นอาจจะทำให้เรามีแต้มต่อที่มากกว่าในการยื่นผลคะแนน แต่หากวิชาที่ 4 นั้นทำได้ไม่ดี เราอาจจะดร็อปให้วิชานั้นเป็นเพียง AS level ก็ย่อมได้
ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงหลักสูตร A-Level จะได้รับการยอมรับในสากล แต่เป็นที่รู้กันว่าการยื่นคะแนน A-Level เข้ามหาวิทยาลัยในอังกฤษและเครือจักรภพนั้นเป็นที่นิยมกว่า เพราะหากน้องๆ สนใจจะยื่นเข้ามหาวิทยาลัยในอเมริกา หรือยุโรป แค่เพียงคะแนน A-Level อาจจะไม่เพียงพอ เพราะเกณฑ์การรับเข้านั้นต่างกัน น้องๆ อาจจะต้องสอบ SAT หรือ ACT ควบคู่ไปด้วยค่ะ
ในส่วนของหลักสูตรต่อไปที่จะกล่าวถึง ก็คือ หลักสูตร IB ที่ขอเรียกว่าเป็น option เสริม มักมีให้น้องๆ เลือกเรียนในสองปีสุดท้ายของ high school ในหลายโรงเรียน ทั้งหลักสูตรอังกฤษและหลักสูตรอเมริกาเลยค่ะ
หลักสูตร IB (International Baccalaureate)

ในส่วนของ หลักสูตร IB นั้นคือหลักสูตรที่ประยุกต์และบูรณาการจากระบบการศึกษาต่างๆทั่วโลก เพื่อที่จะให้นักเรียนเอาคะแนนไปยื่นเข้าสอบหรือสมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในระดับนานาชาติ ใช้แพร่หลายมากกว่า 125 ประเทศ โดยจะมีมาตรฐานเดียวกันหมด
IB Programme จริงๆ แล้วแบ่งหลักสูตรออกเป็น 3 ระดับคือ
- Primary Years Program (3-12)
- Middle Years Program (11-16)
- Diploma Program (16-19)
ซึ่งหลักๆ ใน blog นี้พี่เอมี่และพี่แทนจะขอโฟกัสไปที่พาร์ทที่จะยื่นเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งเรียกว่า IB diploma นะคะ โดยวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งหลักสูตรนี้ก็เพื่อให้มีระบบการศึกษาในรูปแบบใหม่ที่เป็นที่ยอมรับเดียวกันจากทั่วโลก ซึ่งเหมาะมากสำหรับเด็กที่ต้องโยกย้ายไปแต่ละประเทศตามพ่อแม่ โดยการเรียน IB diploma นั้นใช้เวลาทั้งหมด 2 ปีค่ะ (2 ปีสุดท้ายก่อนเรียนจบ High school)
จุดเด่นของหลักสูตร IB
โดยหากให้เทียบกันแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่านักเรียนที่เรียนระบบ IB นั้นนับว่าต้องเรียนหนักหน่วงกว่าใครเพื่อนเลยค่ะ เพราะตัวหลักสูตรสนับสนุนให้น้องๆ นั้นมีความสามารถรอบด้าน สนใจสิ่งต่างๆ รอบตัวนอกจากวิชาการและมีองค์ความรู้ที่ลึกซึ้ง วิชาเรียนนั้นบังคับให้เรียนทั้งหมด 6 วิชาจาก 6 กลุ่มความรู้ เพื่อให้นักเรียนนั้นเรียนได้กว้างที่สุด นอกจากนั้นยังมีอีก 3 เงื่อนไขวิชาหลักที่ถ้าไม่ผ่านก็จะถือว่าไม่จบหลักสูตร IB เช่นกัน ซึ่งวิชาเหล่านั้นก็คือ
- Theory of Knowledge (ToK) ฝึกการคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับมนุษย์และสังคม วัฒนธรรมของตนเองและโลกผ่าน essay 1200-1600 คำ
- Creativity, Action, Service (CAS) โครงงานกิจกรรมนอกโรงเรียนที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ จิตอาสา เพื่อสังคมต่างๆ
- Extended Essay (EE) การเขียนเรียงความในหัวข้อที่สนใจ 4000 คำ
โดยนักเรียนที่ไม่ผ่านเงื่อนไข ทั้ง 3 ข้อนี้จะถือว่าไม่ได้จบ IB Diploma แต่จะได้ได้เพียง IB Certificate เท่านั้น
ดังนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า ระบบ IB นั้นเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบคิดนอกกรอบ ช่วยเหลือสังคม ไม่ใช่เพียงแต่เน้นวิชาการอย่างเดียว แต่พร้อมที่จะผลักดันการเรียนรู้และศึกษาวัฒนธรรมทั้งของตัวเองและชาติต่างๆ โดยไม่ปิดกั้น ฝึกให้เด็กมีจิตสาธารณะที่เอาใจใส่และเข้าอกเข้าใจความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมอย่างแท้จริง
ซึ่งหลักสูตรนี้ มีส่วนช่วยอย่างมากเวลาน้องๆ ยื่น Portfolio เข้ามหาวิทยาลัย เพราะจะมีประวัติที่น้องๆ ต้องไปทำกิจกรรมจิตอาสาช่วยเหลือสังคมอยู่แล้ว นับว่าจะเป็นแต้มต่อใน port ของน้องๆ ในการยื่นคณะในฝันอีกด้วยค่ะ ในส่วนของการยื่นเข้ามหาวิทยาลัย IB นั้นเป็นที่ยอมรับในมหาวิทยาลัยทั่วโลก ทุกประเทศ ดังนั้นหากน้องๆ ยังไม่แน่ใจว่ามหาวิทยาลัยที่อยากจะเข้านั้นคืออังกฤษ อเมริกา หรือในประเทศอื่นๆ เช่นในยุโรป การเลือกระบบ IB อาจจะเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยมากๆ ค่ะ โดยในกรุงเทพนั้น โรงเรียนที่สอน ระบบ IB Full ตั้งแต่ปฐมวัยถึงมัธยม มีเพียง NIST, KIS, Concordian เท่านั้น โดยโรงเรียนระบบอื่นมักจะเป็นเพียง option ให้เลือกเรียน IB diploma เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยในช่วงอายุ 16-19 ค่ะ
หลักสูตร AP (Advanced placement)

หลักสูตร AP คือ โครงการเพื่อการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งในส่วนของโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอเมริกันนั้น เป็นที่รู้กันว่าจะเน้นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมในช่วงประถมวัยแล้วควบคู่ไปกับการศึกษาวิชาการในวัยที่โตขึ้น เพื่อให้เด็กรับรู้ความต้องการของตนเอง หลายคนเลยอาจจะเข้าใจว่าการเรียนเชิงวิชาการของโรงเรียนระบบอเมริกันนั้นไม่หนักหน่วงเท่าหลักสูตร A-Level และ IB ซึ่งตรงนี้พี่ต้องบอกว่าไม่เสมอไปนะคะ เพราะในบางโรงเรียนหลักสูตรอเมริกันก็มี option ให้น้องๆ เลือก IB diploma ตอนอยู่ Grade สูงได้ๆ เช่น ISB, RIS
จุดเด่นหลักสูตร AP
จุดเด่นข้อแรกของหลักสูตร AP คือ คนที่จะไปสอบไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กที่เรียนในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนแบบ AP มาก่อนเท่านั้น แปลว่าน้องๆ สามารถหาหนังสือมาอ่านเองที่บ้านเพื่อเตรียมสอบได้เองค่ะ
ซึ่งหลายคนอาจสับสนว่า AP นั้นเหมือนการสอบ A-Level หรือ IB หรือไม่ ในที่นี้พี่ต้องแจ้งน้องๆ ว่าการสอบนี้แตกต่างกันค่ะ เพราะ AP เป็นเหมือน “ทางลัด” การสอบเก็บคะแนนวิชาที่น้องๆ อยากจะยกเว้นไม่ต้องเรียนในมหาวิทยาลัย ปี 1 หากน้องๆ เรียนอยู่ Grade 12 ในโรงเรียนระบบอเมริกัน ทางโรงเรียนจะมีวิชา AP กว่า 30 วิชาให้นักเรียนเลือก
ถ้านักเรียนมั่นใจว่าจะเข้าคณะวิศวะ น้องๆ อาจจะเลือกลง AP Physics หรือ AP Math ไว้ หากน้องๆ ทำคะแนนได้ดีมากในสองวิชานี้ ทางบอร์ดมหาวิทยาลัยอาจจะลงความเห็นให้น้องๆ สามารถเทียบโอนเกรดเพื่อไม่ต้องเรียนในวิชา physics 1 หรือ Math 1 ในปีแรก เพราะวิชา AP นั้นนับว่าเนื้อหาค่อนข้างเข้มข้นมาก เป็นความรู้ระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งหากน้องๆ ผ่านวิชานี้มาได้ก็นับว่าองค์ความรู้วิชาที่น้องๆ เลือกสอบนั้นเกินกว่าเด็กมัธยมในรุ่น ดังนั้นน้องๆ หลายคนที่รู้ตัวแล้วว่าจะเข้าเรียนคณะไหน บางคนอาจจะไม่เลือกทำ IB diploma ก็ย่อมได้ อาจจะแค่สอบวิชาที่โรงเรียนบวกกับ SAT และ AP บางวิชาเพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัย ก็จะไม่หนักเท่ากับการทำ IB diploma แบบเต็มๆ ค่ะ
สรุปแล้ว พี่เอมี่และพี่แทนมองว่าทุกหลักสูตรนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน การที่ผู้ปกครองหรือนักเรียนจะเลือกเรียนหลักสูตรไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการเข้ามหาวิทยาลัยในแต่ละประเทศเป็นหลัก หากน้องๆ มั่นใจว่ายังไงก็จะยื่นเข้ามหาวิทยาลัยที่อังกฤษแน่ๆ การเลือกเรียน A-Level ก็อาจจะเพียงพอแล้วสำหรับการสอบเข้า ยกเว้นแต่ว่าโรงเรียนที่น้องๆ เรียนนั้นเป็นโรงเรียนที่มีแต่หลักสูตร IB อย่างเดียว ถ้าเป็นแบบนั้นน้องๆ ก็อาจจะได้เปรียบในการยื่นเข้าคณะได้หลากหลายขึ้นในมหาวิทยาลัยทั่วโลกค่ะ
สำหรับน้องๆ คนไหนที่อยากเตรียมตัวล่วงหน้า ต้องการเรียนเสริมเฉพาะเพิ่มเติมเพื่อรับประกันคะแนนสำหรับการปูทางเข้าสู่มหาวิทยาลัย ทาง Ignite มีเหล่าครูผู้เชี่ยวชาญในวิชาหลักๆ ทั้ง A-Level , IB และ AP พร้อมรองรับน้องๆ ทั้งการเรียนแบบ 1on1 , mini private class จะเรียนเดี่ยวหรือจับกลุ่มเพื่อนกันมาเองก็ได้ จัดตารางเวลากันได้ตามสบายเลยค่ะ สามารถเข้ามาปรึกษาสอบถามวางแผนการเรียนได้ทาง Line : @igniteastar หรือคลิก https://bit.ly/3qOtyCB และโทร 02-6580023 , 091-5761475
ดูรายละเอียดคอร์สเรียน ignite A* เพิ่มเติมได้ทาง >> https://www.igniteastar.com/
Related Blog & News
ข่าวสารและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
-
Blog, SAT
รีวิวเตรียมตัวสอบและสัมภาษณ์จนติด BBA TU โดยน้องภูมิ – ก๊อต คู่หู คู่ฮาจากรั้ว BBA TU ปีล่าสุด!
สวัสดีครับน้องๆ สำหรับหลายคนที่อยากเข้าเรียน BBA หรือหลักสูตรบริหารอินเตอร์นั้น อาจจะคิดว่าการสอบเข้า BBA เป็นเรื่องง่ายๆ ชิวๆ แต่เดี๋ยวก่อน!! วันนี้รุ่นพี่ ignite 2 คน ซึ่งตอนนี้เพิ่งเป็นนักศึกษา BBA TU (หลักสูตรการบริหารธุรกิจ ภาคอินเตอร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ไปหมาดๆ จะมาเล่าให้น้องฟังว่า การสอบเข้า BBA ไม่ได้ง่ายอย่างที่น้องคิด!! ถ้าพร้อมแล้ว เราไปดูกันดีกว่าครับว่าพี่ๆ เค้าพยายามกันมากแค่ไหน และมีวิธีเตรียมตัวสอบเข้ากันยังไงให้ติดคณะในฝัน? Q : แนะนำตัวให้น้องๆ ignite รู้จักกันหน่อยครับ ก๊อต : สวัสดีน้องๆ ครับ พี่ชื่อ ก๊อต-พจนารท จบจากโรงเรียนสารสาสน์วิเทศรังสิตครับ ตอนนี้สอบติด BBA (หลักสูตรการบริหารธุรกิจ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ ภูมิ : พี่ชื่อ ภูมิ-จารุภูมิ จบจากโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยมครับ ตอนนี้สอบติด BBA ธรรมศาสตร์ คณะเดียวกันกับก๊อตเลยครับ Q […]
Comments (0)
-
Blog, CU-ATS/CU-AAT
CU-ATS คืออะไร? รู้จัก CU-ATS โอกาสสำคัญในการสอบติดคณะอินเตอร์ยอดฮิต
สวัสดีทุกคนนะครับ วันนี้พี่แอดมินนำข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับข้อสอบ CU-ATS ซึ่งเป็นข้อสอบที่ช่วงนี้กำลังเป็นกระแสและน้องๆ กำลังค้นหาข้อมูลว่ามันคืออะไรกันแน่ พี่แอดมินเลยขอพาทุกคนไปทำความรู้จักว่าข้อสอบ “CU-ATS คืออะไร” พร้อมตอบทุกข้อสงสัยตั้งแต่เนื้อหาข้อสอบเป็นอย่างไร ใช้ยื่นคณะไหนได้บ้าง ค่าสมัครสอบและตารางสอบ อย่ารอช้า…พร้อมแล้วไปอ่านกันเลย !! ข้อสอบ CU-ATS คือ ข้อสอบ CU-ATS (Chulalongkorn University Aptitude Test for Science) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดความถนัดทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการพิจารณาผู้ยื่นเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี ของหลักสูตรนานาชาติ จุฬาฯ โดยลักษณะข้อสอบคล้ายกับข้อสอบ SAT Subject Tests แต่ความยากของเนื้อหาจะแตกต่างกันออกไป คณะที่สามารถใช้คะแนน CU-ATS เพื่อยื่นพิจารณาศึกษาต่อ คือ ISE คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อินเตอร์) BSAC คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมีประยุกต์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อินเตอร์) ข้อควรรู้เกี่ยวกับการสอบ CU-ATS ข้อสอบ CU-ATS คะแนนรวม 1,600 คะแนน ประกอบด้วย 2 วิชา […]
Comments (0)
-
Blog, SAT
รีวิวสอบเข้า INDA CU อย่างละเอียด โดยน้องมิ้นท์ สตรีวิทยา
สวัสดีน้องๆ ที่อยากเข้า INDA (International Program in Design and Architecture) หรือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการออกแบบสถาปัตยกรรม (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทุกคนนะครับ วันนี้แอดมินพาพี่มิ้นท์ รุ่นพี่ ignite ที่สอบติด INDA รอบ Early ปีล่าสุดมารีวิวการเตรียมตัวสอบ และการสอบ ตั้งแต่การเก็บคะแนนเพื่อยื่น การสอบรอบข้อเขียน และการสอบสัมภาษณ์ เพื่อช่วยให้คำแนะนำน้องๆ ใช้เป็นแนวทางในการเตรียมตัวกัน จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปฟังกันเลย Q: ช่วยแนะนำตัวให้น้องๆ ignite รู้จักกันหน่อยครับ A: ชื่อมิ้นท์ค่ะ จบจากโรงเรียนสตรีวิทยาค่ะ สอบติด INDA จุฬาฯ ค่ะ Q: เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมครับว่าทำไมถึงอยากเรียน INDA A: หนูชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็กๆ พอมีพื้นฐานศิลปะบ้าง มีคนมาพูดกับหนูตลอดว่าทำไมไม่ทำสิ่งที่ตัวเองวาดให้เป็นจริง หรือ เอาความสามารถไปช่วยคนอื่น เลยลองมาศึกษาด้านนี้ก็รู้สึกว่าเจ๋งดี […]
Comments (0)
-
Blog, CU-ATS/CU-AAT
5 เทคนิคพิชิต CU-ATS Physics 800 เต็ม By P’Ink
สวัสดีครับน้องๆ ทุกคน เปิดต้นปี 2022 มาได้ไม่นาน เชื่อว่าน้องหลายๆ คน กำลังวางแผนการเตรียมตัวสอบกัน วันนี้พี่อิ๊งค์อยากจะมาแชร์ประสบการณ์และ เทคนิคเก็บ CU-ATS Physics 800 เต็ม ถึงแม้ฟังดูแล้วเหมือนจะยาก ด้วยเวลาที่จำกัดและข้อสอบที่ไม่ได้ง่ายซะทีเดียว แต่พี่เชื่อว่าถ้าน้องลองนำเทคนิคที่พี่แชร์เหล่านี้ไปปรับใช้ คว้าเต็มไม่ยากอย่างที่คิดแน่นอน ทำความรู้จักข้อสอบ CU-ATS Physics ข้อสอบ CU-ATS (Chulalongkorn University Aptitude Test for Science) คือ ข้อสอบที่ใช้วัดความถนัดทางวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการพิจารณาผู้ยื่นเข้าศึกษาในระดับปริญญาตรี ของหลักสูตรนานาชาติ จุฬาฯ โดยลักษณะข้อสอบคล้ายกับข้อสอบ SAT Subject Tests แต่ความยากของเนื้อหาจะแตกต่างกันออกไป เมื่อน้องๆ สมัครสอบ CU-ATS ไปแล้วจะต้องสอบ 2 วิชานั่นคือ CU-ATS Physics CU-ATS Chemistry […]
Comments (0)
Comments