ความแตกต่างระหว่าง CU-TEP กับ TU-GET ข้อสอบไหนยากกว่ากัน

เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดฮิตเลยว่าข้อสอบ CU-TEP และ TU-GET เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และน้องๆ ควรเลือกสอบข้อสอบไหนดีกว่ากัน เราไปดูความแตกต่างของข้อสอบจากทั้ง 2 สถาบันนี้กันแบบข้อต่อข้อ และหาคำตอบไปพร้อมกันว่าน้องๆ ควรเลือกสอบตัวไหนดี
มารู้จักข้อสอบ CU-TEP คืออะไร? TU-GET คืออะไร?

ก่อนอื่นแลย เรามาทำความรู้จักกับข้อสอบทั้ง 2 ข้อสอบว่า CU-TEP คืออะไร และ TU-GET คืออะไรกันนะครับ
CU-TEP ย่อมาจาก Chulalongkorn University Test of English Proficiency คือ ข้อสอบวัดระดับภาษาอังกฤษที่ออกโดย สถาบันภาษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไปด้านภาษาอังกฤษ
- ผลคะแนน CU-TEP จะมีอายุ 2 ปี
- ผลคะแนนของ CU-TEP โดยส่วนใหญ่จะใช้ยื่นศึกษาต่อในแทบทุกคณะอินเตอร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้ง แพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ สัตวแพทยศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ พาณิชยศาสตร์และการบัญชี อักษรศาตร์ และจิตวิทยา เป็นต้น
- นอกจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังมีมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่รับรองผลคะแนนสอบ CU-TEP ในการยื่นสมัครศึกษาต่อในระดับปริญญาตรี เช่น แพทยศาสตร์ และทันตแพทยศาสตร์ ม.ขอนแก่น แพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ รวมไปถึงคณะวิศวกรรมศาสตร์อินเตอร์ของ ม.ธรรมศาสตร์ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ซึ่งแต่ละคณะเหล่านี้ ก็จะใช้ระดับคะแนนที่แตกต่างกัน
- รวมถึงคะแนน CU-TEP ยังสามารถนำไปใช้ยื่นเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโทและเอกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้อีกด้วย
TU-GET ย่อมาจาก Thammasat University General English Test คือ ข้อสอบวัดระดับความรู้ภาษาอังกฤษของผู้ที่ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- TU-GET สามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งในการยื่นเข้าสมัครในภาคอินเตอร์ในหลายๆ คณะของธรรมศาสตร์ได้ครับ และเรียนต่อปริญญาโทที่ธรรมศาสตร์ได้เช่นกัน
- โดยใช้เข้าคณะอินเตอร์ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาทิเช่น วิศวกรรมศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ หรือวารสารศาสตร์ เป็นต้น
- อายุคะแนนของ TU-GET คือ 2 ปี เช่นเดียวกับ CU-TEP
- สำหรับเกณฑ์การยื่นคะแนนของแต่ละคณะและแต่ละมหาวิทยาลัย ก็จะแตกต่างกันไปตามประกาศของคณะนั้นๆ
ค่าสอบและการสมัครสอบ

มาดูที่ค่าธรรมเนียมการสอบของแต่ละตัวกันหน่อย ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ทั้ง CU-TEP และ TU-GET มีค่าธรรมเนียมการสอบที่อยู่ในระดับที่เอื้อมถึงได้ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่น้องๆ หลายคนเลือกสอบ 2 ตัวนี้
สำหรับการค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบ CU-TEP ที่ครอบคลุมทักษะ Listening, Reading, และ Writing มีราคาทั้งสิ้น 900 บาท แต่หากผู้สมัครสอบจำเป็นต้องใช้คะแนน CU-TEP Speaking เพื่อนำไปยื่นเข้าบางคณะของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเช่น BBA, EBA, JIPP, แพทยศาสตร์ และทันตแพทยศาสตร์ ค่าสมัครสอบจะอยู่ที่ราคา 2,900 บาท
การสมัครสอบของ CU-TEP ผู้สมัครสอบ สามารถสมัครออนไลน์ได้ผ่านเว็บไซต์ข้างต้น ในหัวข้อ “ระบบลงทะเบียนออนไลน์” เมื่อข้อมูลที่กรอกได้รับการยืนยันแล้ว ผู้สมัครสอบสามารถชำระเงินการสอบ โดยมีวิธีดังนี้
ชำระเงินผ่านทางเคาน์เตอร์ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย หรือธนาคารทหารไทย โดยพิมพ์ใบชำระเงินจากระบบการสมัคร และนำใบชำระเงินไปยื่นกับทางเคาน์เตอร์ธนาคาร เพื่อทำการชำระเงิน (สามารถชำระเงินได้ภายในเวลาทำการ ของธนาคารภายในวันสุดท้ายของการสมัครสอบ) หรือ ชำระผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส
ชำระเงินผ่าน ATM โดยชำระผ่านตู้ ATM โดยเลือกเมนูชำระสินค้าและบริการ ทำการใส่ Ref 1 และ Ref 2 ตามที่ระบุไว้ในใบชำระเงินที่พิมพ์ออกมาจากระบบ (สามารถชำระเงินภายในเวลาเทื่องคืน ของวันสุดท้ายของการสมัครสอบ ถ้าหากชำระเงินเกินตามเวลาที่กำหนด ทางระบบจะปรับยอดเป็นวันถัดไป ซึ่งถือว่าเกินตามระยะเวลาการชำระเงิน จะถือว่าผู้สมัครได้ชำระเงิน เกินกำหนดระยะเวลาการสมัครสอบ) สามารถพิมพ์ใบชำระเงินได้ภายในเวลา 17.00 น.ของวันสุดท้ายของการสมัคร
* ผู้สมัครสามารถตรวจสอบสถานะการชำระเงินของตนเองได้ ภายใน 3 วันทำการ หลังจากทำการชำระเงิน
** หากผู้สมัครไม่ได้ชำระเงินภายในเวลาที่กำหนด จะไม่สามารถชำระเงินย้อนหลังได้ และต้องรอสมัครใหม่ในรอบต่อไป
ส่วนค่าธรรมเนียมการสมัคสอบ TU-GET โดยปกติอยู่ที่ราคา 500 บาท แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่สมัครสอบด้วย กล่าวคือ หากน้องทำการสมัครสอบวันที่ 1-15 ของทุกเดือน ค่าสมัครสอบจะอยู่ที่ 500 บาท
ผู้สมัครสอบสามารถสมัครสอบทางออนไลน์ และพิมพ์ใบแจ้งการชำระเงินและนำไปชำระเงินได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย ทุกสาขา แต่หากน้องสมัครวันที่ 16 จนถึงวันสอบ ค่าสมัครสอบจะอยู่ที่ 700 บาท และผู้สมัครสอบต้องจ่ายค่าสมัครสอบด้วยตนเอง ที่ห้อง TU-GET ชั้น 1 อาคารสถาบันภาษา มธ. ท่าพระจันทร์
ทั้งนี้ ผู้สมัครสอบสามารถตรวจสอบเลขประจำตัวสอบ สถานที่ วันและเวลาสอบได้ทางเว็บไซต์ ก่อนสอบ 1 สัปดาห์
น้องๆสามารถสมัครสอบทั้ง CU-TEP และ TU-GET ได้ตามลิงค์ที่แชร์ด้านล่างนี้ได้เลย
1. ลิงค์การสมัครสอบ CU-TEP
http://register.atc.chula.ac.th/ChulaATC/index.php?mod=welcome&op=&lang=th
2. ลิงค์การสมัครสอบ TU-GET
http://litu.tu.ac.th/TUGET/Login.aspx
วันและสถานที่สอบ

CU-TEP และ TU-GET เปิดรอบสอบทุกเดือนเหมือนกัน แต่ CU-TEP จะจัดสอบเดือนละ 1-2 ครั้ง และจะเปิดรอบสอบ CU-TEP Speaking เดือนละ 1ครั้งเท่านั้น ส่วน TU-GET จะเปิดสอบเดือนละ 1 ครั้ง
สำหรับการรับผลสอบ CU-TEP ผู้สอบจะรู้ผลสอบประมาณ 2 สัปดาห์ หลังจากการสอบผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ ส่วนผลการสอบ TU-GET ผู้เข้าสอบสามารถตรวจสอบคะแนนได้ทางเว็บไซต์ หลังจากวันสอบ 1 สัปดาห์ โดยที่สถาบันภาษาจะส่งคะแนนอย่างเป็นทางการให้ผู้สมัครสอบ ภายหลังการสอบ 2 สัปดาห์
ทั้งนี้ ผู้สอบสามารถเช็คปฏิทินการจัดสอบได้ในลิงค์ด้านล่างนี้เลย
1. ปฏิทินสอบ CU-TEP (ปรากฏในแถบด้านซ้ายมือของเว็บไซต์)
http://www.atc.chula.ac.th/index2.html
2. ปฏิทินสอบ TU-GET
http://litu.tu.ac.th/2019/assets/public/kcfinder/upload/public/pdf/2019/12/Brochure%20TU-GET(PBT)-2562-2563.pdf
สำหรับสถานที่สอบของ CU-TEP และ TU-GET ผู้สมัครสอบสามารถตรวจสอบสถานที่, วัน, และเวลาการสอบได้จากเว็บไซต์ทางการข้างต้น โดยสถานที่สอบของ CU-TEP จะมีความหลากหลายกว่าเพื่อความสะดวกของผู้สมัครสอบในแต่ละภูมิภาค สนามสอบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ CU-TEP คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั่นเอง ส่วนสนามสอบของ TU-GET จะเป็นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แต่บางครั้งก็มีการจัดรอบพิเศษตามศูนย์สอบโรงเรียนต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร
ข้อสอบและระยะเวลาการสอบ

เราลองมาลงรายละเอียดเนื้อหาในข้อสอบกันบ้าง ทั้ง CU-TEP และ TU-GET ต่างก็มีข้อสอบ 3 พาร์ท แต่ทักษะที่สอบก็มีความแตกต่างกันบ้าง ดังนี้
ข้อสอบ CU-TEP ประกอบไปด้วย 3 พาร์ท รวมทั้งหมด 120 ข้อ คะแนนเต็ม 120 คะแนน ในแต่ละพาร์ทจะกำหนดเวลาทำแยกกัน คือเมื่อทำเสร็จพาร์ทหนึ่งก็จะเก็บและทำอีกพาร์ทหนึ่งต่อ โดยในแต่ละพาร์ทมีจำนวนข้อและจำกัดเวลา ดังนี้
- Listening จำนวน 30 ข้อ ระยะเวลาในการสอบ 30 นาที
- Reading จำนวน 60 ข้อ ระยะเวลาในการสอบ 70 นาที
- Writing จำนวน 30 ข้อ ระยะเวลาในการสอบ 30 นาที
ข้อสอบ TU-GET ประกอบไปด้วย 3 พาร์ทที่มีความแตกต่างจาก CU-TEP บ้าง มีจำนวนข้อทั้งหมด 100 ข้อ คะแนนเต็ม 1,000 คะแนน สำหรับการสอบ TU-GET นี้ ระยะเวลาในการสอบจะรวมกัน 3 ชั่วโมงต่อเนื่องกัน ดังนั้น ผู้เข้าสอบต้องบริหารเวลาในการทำข้อสอบเอง โดยทักษะการสอบมีดังนี้
- Grammar and Structure จำนวน 25 ข้อ
- Vocabulary จำนวน 25 ข้อ
- Reading comprehension จำนวน 50 ข้อ
เจาะลึกข้อสอบ CU-TEP และ TU-GET

ได้เวลามาเจาะลึกทั้ง 2 ข้อสอบกันแล้ว เพื่อให้น้องๆเห็นภาพมากขึ้น จะได้เตรียมตัวได้ง่ายขึ้น ลองไปดูกันเลย
ข้อสอบ CU-TEP ที่ผู้สมัครทั่วไปสอบมีคำถามทั้งหมดรวม 120 ข้อ เป็นข้อสอบปรนัยทั้งหมด โดยที่ข้อสอบ CU-TEP ประกอบด้วย 3 ทักษะ ได้แก่ Listening, Reading, และ Writing โดยในแต่ละพาร์ทจะมีรายละเอียดการสอบ ดังนี้
- ข้อสอบ LISTENING มีจำนวน 30 ข้อ ระยะเวลาการทำ 30 นาที แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่
– บทสนทนาสั้นระหว่างผู้พูด 2 คน จำนวน 15 ข้อ
– บทสนทนาที่ผู้พูดโต้ตอบกัน ความยาวประมาณ 10-20 exchanges จำนวน 3 บท บทละ 3 ข้อ รวมเป็นทั้งหมด 9 ข้อ
– บทพูดคนเดียว (Monologue) ที่มีความยาวประมาณ 200-250 คำ จำนวน 2 บท บทละ 3 ข้อ รวมเป็น 6 ข้อสำหรับการสอบ Listening ผู้สอบจะได้ยินบทสนทนาแต่ละบทเพียงครั้งเดียว และหลังบทสนทนาผู้สอบจะได้ยินคำถามเพียงครั้งเดียวเช่นกัน เมื่อคำถามแต่ละข้อจบลง ผู้สอบต้องตอบคำถามโดยการเลือกจากตัวเลือก 1, 2, 3, หรือ 4
- ข้อสอบ READING มีจำนวน 60 ข้อ ระยะเวลาการทำ 70 นาที แบ่งข้อสอบออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่
Cloze reading เป็นบทความภาษาอังกฤษ ที่มีการเว้นช่องว่าง 15 ช่อง 15 ข้อ 15 คะแนนผู้สอบต้องเลือกคำตอบจากตัวเลือก 1, 2, 3, หรือ 4 ให้บทความสมบูรณ์ถูกต้องทั้งด้านเนื้อหาและไวยากรณ์
– บทความสั้น เป็นบทความสั้นประมาณ 1 ย่อหน้าหรือประมาณครึ่งหน้า A4 มักเป็นรูปแบบจดหมาย และมีคำถามแบบปรนัยจำนวน 5 ข้อ
– บทความยาว เป็นบทความที่มีความยาวประมาณ 1 หน้า A4 จำนวน 4บทความ โดยมีคำถามจาก 4บทความรวมทั้งสิ้น 40 ข้อ*ด้วยจำนวนข้อถึง 60 ข้อ ภายใน 70 นาที ทำให้ผู้สอบมีเวลาเฉลี่ยต่อข้ออยู่เพียงข้อละ 1 นาทีเศษ ผู้สอบจึงควรบริหารเวลาในการทำข้อสอบให้มีประสิทธิภาพที่สุด
- ข้อสอบ WRITING มีจำนวน 30 ข้อ ระยะเวลาในการทำข้อสอบ 30 นาที เฉลี่ยข้อละ 1 นาทีเท่านั้น
ข้อสอบส่วนนี้จะออกมาในรูปแบบของ Error Identification เพื่อวัดความรู้ทางไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ของผู้เข้าสอบโดยเฉพาะ เป็นข้อสอบปรนัยแบบเลือกจากตัวเลือก 1, 2, 3, หรือ 4 เช่นกัน*ทั้งนี้ ดร.พี่กั๊กและพี่แพททริค ได้รวบรวมเทคนิคการทำข้อสอบ CU-TEP รวมถึง CU-TEP Speaking ไว้ให้แล้ว น้องสามารถคลิกเข้าไปอ่านได้ที่ >> เผยเทคนิคพิชิต CU-TEP + CU-TEP SPEAKING พร้อมแนวข้อสอบทั้ง 4 ทักษะ
มาต่อกันที่ ข้อสอบ TU-GET กันบ้าง ข้อสอบนี้มีคำถามรวมทั้งหมด 100 ข้อ ระยะเวลาในการทำข้อสอบทั้งหมดรวม 3 ชั่วโมงแบบที่ผู้เข้าสอบสามารถบริหารเวลาทำข้อสอบได้เอง โดยเนื้อหาที่สอบมีดังนี้
- Grammar and Structure เป็นพาร์ทที่วัดความรู้ด้านไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ มีจำนวนคำถามทั้งหมด 25 ข้อ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
– Error identification จำนวน 13 ข้อ เป็นการหาจุดผิดจากประโยค เป็นข้อสอบปรนัยแบบ 4 ตัวเลือก ข้อสอบในส่วนนี้จะมีความคล้ายคลึงกับข้อสอบพาร์ท Writing ของ CU-TEP มากๆ
– Sentence completion จำนวน 12 ข้อ เป็นพาร์ทเติมคำตอบในช่องว่างที่วัดความรู้ทางไวยากรณ์โดยเฉพาะ เป็นข้อสอบปรนัยแบบ 4 ตัวเลือก คำถามจะมาเป็นประโยคและเว้นว่างไว้ให้น้องๆ เลือกเติมประโยคให้สมบูรณ์ถูกต้อง บอกเลยว่าเป็นพาร์ทที่ต้องแม่นไวยากรณ์จริงๆ - Vocabulary เป็นพาร์ทวัดความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษ มีทั้งหมด 25 ข้อ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่
– Fill in the blanks มีจำนวนทั้งหมด 13 ข้อ ก่อนหน้านี้ข้อสอบจะเป็น Passage มาให้และให้เลือกคำไปเติมให้ถูกต้อง เป็นลักษณะเหมือน Cloze test แต่ปัจจุบันนี้ ข้อสอบ TU-GET เปลี่ยนพาร์ทนี้เป็นข้อต่อข้อ กล่าวคือ เป็นประโยคมาให้ทีละข้อ และให้เลือกคำศัพท์ที่ถูกต้องทั้งถูกความหมายและถูกบริบทไปเติม ตัวเลือกเป็นปรนัยแบบ 4 ตัวเลือกเช่นเดียวกัน ความยากของพาร์ทนี้คือ ตัวเลือกที่โจทย์ให้มาจะมีความใกล้เคียงกันมาก บางครั้งใกล้เคียงในตัวสะกดทำให้น้องๆ ลังเลได้ บางครั้งก็ใกล้เคียงในความหมาย ทำให้น้องๆ ต้องเลือกใช้คำให้ถูกบริบทด้วย
– Synonyms มีจำนวนทั้งหมด 12 ข้อ พาร์ทนี้เป็นการวัดว่าน้องๆ รู้ความหมายและบริบทการใช้ของคำศัพท์ที่โจทย์กำหนดมาเลยหรือไม่ เพราะน้องๆ ต้องเลือกคำตอบที่มีความหมายเหมือนหรือใกล้เคียงคำที่โจทย์ขีดเส้นใต้มามากที่สุด - Reading comprehension มีจำนวนทั้งหมด 50 ข้อ จากทั้งหมด 6 passages ใน 1 Passage ก็จะมีคำถามประมาณ 7-10 ข้อ ความยาวของแต่ละ passage จะมีความแตกต่างกัน บางบทความอาจสั้น บางบทความยาว เรื่องที่ออกจะมีความหลากหลาย เช่น บทความการทดลองทางวิทยาศาสตร์ บทความเกี่ยวกับปแญกาสิ่งแวดล้อม หรือบทความที่เกี่ยวกับด้านสังคม เป็นต้น ส่วนคำถามของพาร์ทนี้จะมีความคล้ายคลึงกับคำถามในข้อสอบ CU-TEP ทั้งการถาม Title, main idea, reference, vocabulary รวมถึงการถามแบบลงรายละเอียด จึงจำเป็นมากๆ ที่น้องๆ จะต้องอ่านเข้าใจภาพรวมของบทความนั้นๆ
สรุปความเหมือนและต่างของข้อสอบ

สุดท้ายนี้ เราไปดูความเหมือนและความแตกต่างระหว่างข้อสอบ CU-TEP และ TU-GET กัน อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าทั้งสองข้อสอบนี้มีบางทักษะและรูปแบบคำถามที่แตกต่างกัน กล่าวคือ CU-TEP จะมีการทดสอบ Listening จำนวน 30 ข้อ ในขณะที่ข้อสอบ TU-GET ไม่มี แต่จะมีการทดสอบ Vocabulary แทนในจำนวน 25 ข้อ สำหรับพาร์ท Reading จำนวนข้อของ CU-TEP ก็จะมากกว่าของ TU-GET 10 ข้อ และในพาร์ท Writing จาก CU-TEP ที่เป็น Error identification อย่างเดียว 30 ข้อ ใน TU-GET ก็จะเหลือแค่ 13 ข้อ และมีส่วนที่เป็น Sentence completion เข้ามาแทน 12 ข้อ
ทั้งนี้ ระดับความยากของทั้งสองข้อสอบ ค่อยข้างอยู่ในระดับเดียวกัน แต่น้องๆ หลายคนอาจบอกว่าข้อสอบ CU-TEP ยากกว่า ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะเวลาในการทำข้อสอบที่สั้นกว่าก็ได้ ที่ทำให้น้องๆ รู้สึกกดดันตัวเอง
คอร์สเรียน CU-TEP & TU-GET

จะเห็นเลยว่า ทั้ง CU-TEP และ TU-GET มีความคล้ายคลึงในเนื้อหาที่สอบอย่างมากโดยเฉพาะด้านการอ่าน, คำศัพท์, และไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ หรือ Grammar นั่นเอง ดังนั้น เพื่อที่จะให้น้องๆ ได้ประโยชน์จากการเรียนอย่างสูงสุด ทาง ignite จึงได้ออกแบบคอร์สเรียนที่สามารถช่วยให้น้องๆ เตรียมตัวสอบทั้ง 2 ข้อสอบได้ไปพร้อมๆ กันกับคอร์ส Mini Class CU-TEP & TU-GET โดยพี่พิมพ์ รับรองว่าน้องๆ จะได้พบกับเทคนิคการทำข้อสอบมากมาย และเริ่มปูความรู้ตั้งแต่พื้นฐานไวยากรณ์ที่ออกสอบบ่อยในทั้ง 2 ข้อสอบ พร้อมการแตกศัพท์มากมายมั่นใจได้เลยว่าออกสอบแน่ ที่สำคัญ คอร์สนี้จำกัดที่นั่งเพียง 10 คนเท่านั้น!
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือเข้ามาทำ Placement Test เพื่อวัดระดับความรู้ ได้ที่ Ignite by Ondemand ชั้น 12B อาคารสยามพิวรรธน์ทาวเวอร์ หรือคลิกปุ่ม Line@ ด้านล่างเพื่อสอบถามข้อมูลเข้ามาได้เลยครับ
สามารถศึกษาข้อมูลข้อสอบ CU-TEP หรือเทคนิคในการทำข้อสอบ CU-TEP ที่น่าสนใจ ที่พวกพี่ๆ ได้รวบรวมไว้ให้น้องๆ ได้ทาง >> https://www.ignitebyondemand.com/category/cu-tep/
Related Blog & News
ข่าวสารและกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง
-
Blog, BMAT
รีวิวสอบเข้าแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รอบ Portfolio กับโอกาสในการเป็นหมอของชาวเหนือจากน้องฟร๊อก สาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่
สำหรับใครที่สนใจเรียนคณะแพทย์ พี่มีข้อมูลดีๆ ของคณะแพทย์ จากอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยคุณภาพมาฝากนั่นก็คือ……คณะแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ครับ !!! ซึ่งการสอบเข้า คณะแพทย์ มช. เนี่ย สามารถเลือกสอบเข้าได้หลายวิธีเลย แต่วันนี้พี่แอดมินขอพาน้องฟร๊อก รุ่นพี่ ignite ที่สอบติดแพทย์มช. ที่เลือกสอบเข้า ด้วยโครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ ใน TCAS รอบ1 ปีล่าสุด มารีวิวการสอบเข้าเพื่อให้น้องๆ ใช้เป็นแนวทางการเตรียมตัวได้อย่างถูกต้องนะครับ…แต่ก่อนอื่นเรามาดู Requirement ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โครงการนี้กันดีกว่าว่าต้องใช้อะไรในการยื่นบ้าง Requirements คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โครงการเรียนดีภาษาอังกฤษ คุณสมบัติของผู้สมัครและคะแนนที่ใช้ยื่น มีผลสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษ– โรงเรียนไทย TOEFL (iBT) ≥ 79 หรือ IELTS ≥ 6.5– โรงเรียนนานาชาติ TOEFL (iBT) ≥ 100 หรือ IELTS (Academic) ≥ 7 […]
Comments (0)
-
Blog
ไขข้อสงสัย ความแตกต่างระหว่างหลักสูตร A-Level, IB, AP ในระบบการศึกษาแบบนานาชาติ
ในยุคที่โรงเรียนนานาชาติในไทยพากันผุดเป็นดอกเห็ด บรรดาผู้ปกครองและน้องๆ ก็อาจจะสับสนกับระบบและหลักสูตรต่างๆ ของ โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย ทำไมคนนั้นเรียน A-Level แล้ว ระบบ IB ละคืออะไร ทำไมบางโรงเรียนถึงเลือกได้ทั้งสองแบบ ในขณะที่บางโรงเรียนมีแค่ AP แล้วต้องสอบ SAT ด้วย ?? วันนี้พี่เอมี่และพี่แทนจะมาเล่าให้ฟังคร่าวๆ เกี่ยวกับความต่างของแต่ระบบวิชาในโรงเรียนกันค่ะ โดยหลักสูตรที่ popular ที่สุดในประเทศไทยคงจะหนีไม่พ้นหลักสูตรอังกฤษ ตามด้วยหลักสูตรอเมริกัน และ หลักสูตร IB ตามลำดับ ความแตกต่างระหว่างระบบการศึกษานานาชาติ หลักสูตรอังกฤษ – หลักสูตรอเมริกัน – หลักสูตร IB พอจะเห็นภาพความแตกต่างของระบบการศึกษาต่างๆ กันแล้วใช่ไหมคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ปกครองที่กำลังเลือกโรงเรียนให้บุตรหลาน หรือน้องๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ในระบบโรงเรียนนานาชาติต่างๆ ควรจะศึกษาหลักสูตรที่เหมาะกับความถนัดและความต้องการในการเรียนต่อในอนาคตมากที่สุดค่ะ […]
Comments (0)
-
Blog, SAT Subject Tests
รีวิวสอบเข้า ISE จุฬาฯ ด้วย SAT Subject Tests จากน้องโน้ต กรุงเทพคริสเตียน
สวัสดีน้องๆ ที่อยากสอบเข้า ISE หรือ คณะวิศวะอินเตอร์ จุฬาฯ ทุกคนนะครับ!! วันนี้พี่แอดมินพาพี่โน้ต รุ่นพี่ ignite ที่สอบติด ISE จุฬาฯ ปีล่าสุด มารีวิวการสอบเข้าวิศวะอินเตอร์ ด้วยคะแนน SAT Subject Tests เพื่อให้น้องๆ ได้ทราบว่าข้อสอบแต่ละวิชามีความยากง่ายอย่างไร ควรเตรียมตัววิชาไหนก่อนและเคล็ดลับการสอบติดจากพี่โน้ต เพื่อให้น้องๆ ทุกคนใช้เป็นแนวทางการเตรียมตัวได้อย่างถูกต้องนะครับ เคล็ดลับเตรียมตัวให้สอบติด ISE จุฬาฯ สำหรับพี่คิดว่าการเริ่มเตรียมตัวสอบเข้า ISE ตอน ม.5 เทอม 1 เป็นการเริ่มต้นที่ดีนะครับ ไม่ช้าเกินไป ยังพอมีเวลาเหลือให้เราสามารถไปทำกิจกรรมอย่างอื่นได้อีกด้วย ถ้าเริ่มต้นเตรียมตัวตอน ม.6 อาจจะทำให้เราเหนื่อยจนไม่ค่อยมีเวลาไปทำอย่างอื่นและถ้ายังไม่ได้คะแนนที่ต้องการในรอบแรก ก็จะมีเวลาแก้ตัวน้อยลงอีกด้วยนะครับ ยิ่งถ้าน้องๆ รู้ตัวและตั้งป้าหมายว่าจะเข้า ISE ตั้งแต่ ม.4 ยิ่งจะทำให้เราเตรียมตัวได้ไว เผลอๆ […]
Comments (0)
-
Blog, SAT Subject Tests
สรุปทางเลือกเมื่อ SAT Subject Tests ยกเลิก วิชาไหนบ้างที่ยื่นแทนได้?
เป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศเลยทีเดียวสำหรับน้องๆ มัธยมที่อยากเข้าคณะอินเตอร์ เมื่อ College board ประกาศว่าต่อไปจะไม่มี Sat Subject test อีกแล้ว น้องๆ หลายคนที่วางแผนไว้ว่าจะสอบในอนาคตตอนนี้คงมีคำถามในใจกันเต็มไปหมด ว่า อ้าว แล้วคณะที่เราอยากเข้าจะทำยังไงละ มันจะส่งผลอะไรยังไงกับเราแค่ไหน ignite ก็เลยเขียนบทความนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะเสนอแนวทางในการหาวิชาสอบทดแทนสำหรับน้องๆ ที่ยังมุ่งมั่นว่าจะเข้าคณะอินเตอร์ หรือ หมอในไทย โดยต้องบอกว่าสถานการณ์ตอนนี้ น้องๆ อินเตอร์อาจจะได้เปรียบกว่านิดหน่อย เพราะหลายคณะยังคงรับการยื่นคะแนน IB, A-Level ที่น้องๆ โรงเรียนนานาชาติต้องสอบกันในโรงเรียนอยู่แล้ว แต่น้องๆ ภาคไทยอย่าเพิ่งน้อยใจกันไป เพราะบางคณะยังคงเปิดให้ยื่นวิชาอื่นแทนด้วย จะเป็นอะไรนั้นตามดูกันได้เลยครับ เมื่อ SAT Subject test ยกเลิก เราจะใช้วิชาไหนสอบแทนได้บ้าง มาดูกันเลย ! #ทีมเด็กไทย เริ่มกันก่อนกับคณะยอดฮิต วิศวะอินเตอร์ จุฬา หรือ ISE และ BSAC วิทยาศาสตร์อินเตอร์ จุฬา น้องๆ ที่ เรียนภาคไทย นั้นมีตัวเลือกเพียงแค่ยื่นสอบ […]
Comments (0)
Comments